Saturday, May 17, 2014

EURO2014 ตอน Florence, City of Angel

จากเวนิสเราก็เดินทางต่อไปที่เมืองสำคัญของยุค Renaissance นั่นก็คือฟลอเรนซ์ (Firenze)

ครั้งนี้เดินทางไป Florence ด้วยรถไฟความเร็วสูงวิ่งระหว่างเมือง จะไปได้ต้องมีการจองล่วงหน้าโดยใช้หลักการคล้ายๆเครื่องบิน จองก่อนนานๆก็ราคาถูก จากนั้นราคาจะแพงขึ้นเรื่อยๆ ทางที่ดีควรจะจองตั้งแต่วันแรกที่ทำได้เลย เดี๋ยวจะบอกรายละเอียดเรื่องจองรถไฟในโพสถัดๆไป


รถไฟระหว่างเมืองของที่นี่ถือว่าโอเคทีเดียว ที่นั่งก็กว้างพอสำหรับคนเอเซียตัวเล็กๆอย่างพวกเรา ตรงที่นั่งไม่มีที่วางกระเป๋าเดินทาง แต่เค้าจะทำที่วางไว้ให้ตรงปลายตู้ทั้งสองด้าน ตรงนี้แหละที่น่ากลัว เพราะอาจจะมีคนหยิบกระเป๋าของเราลงไประหว่างทางก็ได้(มีเพื่อนเคยโดนมาแล้ว) ดังนั้นพอรถจอดทีนึง ควรเดินมาด้อมๆมองๆกระเป๋าของตัวเองสักหน่อยว่ายังอยู่ดีหรือไม่

การเดินทางจากเวนิส (สถานที VENEZIA SANTA LUCIA) ถึงฟลอเรนซ์ (สถานี FIRENZE SANTA MARIA NOVELLA) ใช้เวลาเพียงแค่ 2 ชั่วโมง หลังจากมาถึงก็ต้องแวะเติมพลังเสียหน่อย

ที่อิตาลีนี่ก็มีพ่อค่าที่เป็นคนดำคอยขายของก๊อปอยู่เพียบและแน่นอน เค้าพร้อมจะพับร้านหนีตำรวจเสมอ  เห็นแล้วต้องถ่ายรูปมารัวๆ

สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองฟลอเรนซ์ค่อนข้างจุกตัวอยู่ใกล้ๆกัน ทำให้สามารถพึ่งพลังขาให้พาไปถึงได้แทบทุกจุดหมาย ยกเว้นเพียงแค่ Piazzale Michelangelo ที่อยู่บนเนินเขานอกตัวเมือง นั่งรถเมล์ไปน่าจะดีกว่า 

จุดหมายแรกหลังจากอิ่มท้อง ก็คงเป็นอื่นใดไปไม่ได้นอกจากมหาวิหารแห่งเมืองฟลอเรนซ์ Basilica di Santa Maria del Fiore ที่เป็นศูนย์กลางของเมือง ตัววิหารตกแต่งภายนอกด้วยหินอ่อนอย่างสวยงาม ในบริเวณนี้รวมๆเรียกว่า Piazza del Duomo

สิ่งที่น่าทึ่งอีกอย่างหนึ่งของมหาวิหารของฟลอเรนซ์คือเทคนิคการสร้างโดมของ Filippo Brunelleschi ซึ่งไม่มีเสาค้ำเลย เป็นสิ่งมหัศจรรย์ในเชิง Engineering มาจนถึงทุกวันนี้ สำหรับผู้สนใจแนะนำให้ดูสารคดี Great Cathedral Mystery ของ PBS Nova ซึ่งได้อธิบายวิธีการสร้างไว้เป็นอย่างดี


เป็นที่น่าเสียดายที่หอทำพิธีศีลจุ่ม (Battistero di San Giovanni) กำลังปิดซ่อม  โดนนั่งร้านปิดล้อมไว้โดยรอบกลายเป็นลูกทุเรียนไป


ตอนกลางวันบริเวณรอบๆจะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ก็แน่นอนล่ะ ไม่อยู่แถวนี้จะให้ไปตรงไหนล่ะ


การจะเข้าไปในโบสถ์ และปีนขึ้นหอระฆังหรือโดมได้ ต้องซื้อตั๋วแบบคอมโบราคา 10 ยูโร  ใบเดียวเข้าได้หมดทุกที่ ภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากใช้ที่แรก สถานที่ซื้อตั๋วมีหลายที่ แต่เอาง่ายที่สุดก็ซื้อจากมิวเซียม ที่อยู่ด้านหลัง Duomo จะคนน้อยกว่าที่อื่น รายละเอียดไปดูได้ที่ official website



ตอนที่เราไป แถวเข้าโดมจะยาวที่สุด และใช้เวลารอนานที่สุด น่าจะประมาณ 1 ชั่วโมง ส่วนโบสถ์แถวก็ยาว แต่เค้าจะปล่อยคนเข้าไปเป็นรอบๆ รอบนึงเยอะอยู่เลยรอประมาณ 10 นาที สำหรับมิวเซียม และหอระฆังไม่มีแถว แต่ตอนลงจากหอระฆังเจอกลุ่มเด็กนักเรียนสวนขึ้น คนแน่นมาก เลยไม่แน่ใจว่าที่ไม่เจอแถวนั่นเป็นแค่บางช่วงหรือเปล่า
 

ปีนี้เหมือนดวงไม่ดี ไปไหนก็เจอแต่ของปิดซ่อม ตัว Museo dell'Opera del Duomo นี่ปิดจนแทบไม่เหลืออะไรให้ดู จะมีก็แต่ Gates of Paradise ของ Lorenzo Ghiberti และ Pietà ของ Michelangelo ที่เจ้าตัวตั้งใจทำไว้ใช้เป็นป้ายหลุมศพของตัวเอง ซึ่งถ้าไม่มีสองอันนี้ อาจจะไม่มีคนเข้าดูเลยก็เป็นได้

Gates of Paradise ที่อยู่ในมิวเซียมนี่เป็นของจริง ถูกเก็บอยู่ในตู้กระจกมิดชิด ส่วนที่ติดอยู่ตรง Baptistry ด้านนอกให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปเป็นของเลียนแบบ



 Pieta อันนี้ ดูฝีมือไม่เฉียบคมเหมือนที่วาติกัน น่าจะเป็นเพราะ Michelangelo ลงมือทำตอนอายุแก่งั่กใกล้ลงโลงแล้ว 

ข้างในโดมด้านบน มองลงไปเป็นตัวโบสถ์ 

หลังคาด้านในของโดมถูกตกแต่งด่วยภาพวาด Fresco ฝีมือของ  Giorgio Vasari และ Federico Zuccari ซึ่งแสดงถึงเหตุการณ์ The Last Judgement 

ดูแล้วรูป Fresco นี่ยังสีสดอยู่มาก คงเพราะถูกรักษาและบำรุงอย่างดี
รูปนี้ซูมและ crop เอาจากรูปด้านบน  แสดงพลังของกล้องและเลนส์ที่ให้คุณภาพสมราคาที่จ่ายไป 
 
ภายในโบสถ์เป็น Gothic Architect ก็เลยไม่มีการตกแต่งอะไรเท่าไหร่ ดูบ้านๆตามสไตล์


เห็นความสูงของหอระฆัง (Giotto's Campanile) ตอนแรกก็มีท้ออยู่ในใจเหมือนกัน 

 การจะใช้ตั๋วคอมโบให้คุ้ม นั้นต้องใช้แรงขาแลกมา เพราะจะเห็นโดมชัดๆ ก็ต้องปีนขึ้นหอระฆัง

ส่วนการจะเห็นหอระฆังชัดๆ ก็ต้องปีนขึ้นโดม  แต่ละอันต้องเดินขึ้นบันได้ไม่ต่ำกว่า 400 ขั้น

ข้างๆโดมมีอนุสาวรีย์ของ Filippo Brunelleschi อยู่ 

มีมุมนี้เพียงแค่มุมเดียว ที่จะสามารถมองเห็นทั้งโบส์ โดม และหอระฆังได้พร้อมกัน จะเห็นว่าพอตกกลางคืนนักท่องเที่ยวก็หายไปเกือบหมด รูปนี้ถ่ายตอนประมาณสี่ห้าทุ่ม 

ไม่รู้ว่างานซ่อมจะเสร็จเมื่อไหร่เหมือนกัน

ส่งท้ายด้วยวิธีให้อาหารม้า ไม่รู้จะดีใจแทนหรือสงสารม้าดี -_-"

 

No comments: