Sunday, May 04, 2014

EURO2014 ตอน Château de Versailles

พระราชวังแวร์ซายเป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้ โดยเฉพาะในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของประเทศฝรั่งเศสที่ปกครองในแบบ Monarchy

ในสมัยนั้นพระมหากษัตริย์เป็นผู้กำหนดทุกอย่างของประเทศและอยู่เหนือกฎหมาย ซึ่งเป็นการปกครองรูปแบบหนึ่งที่เรียกว่า Absolute Monarchy โดยประเทศไทยช่วงก่อนรัชกาลที่ 7 ก็เป็นการปกครองแบบนี้เช่นกัน


การเดินทางไปพระราชวังแวร์ซายนั้นไปโดยรถไฟ RER C แต่ก็ต้องขึ้นขบวนที่วิ่งไปที่ Versailles Rive Gauche เท่านั้นนะเพราะ RER C มีหลายปลายทาง ถ้าขึ้นผิดขบวนนี่ไม่ถึงแวร์ซายแน่นอน จากใจกลางกรุงปารีสใช้เวลาประมาณ 30 นาทีเท่านั้นเอง

พอมาถึงสถานีปลายทางแล้ว ให้แวะซื้อตั๋วขากลับเอาไว้เลย เพราะคนส่วนใหญ่ก็จะซื้อกันตอนเดินมาถึงสถานีตอนจะกลับนั่นแหละ แล้วแถวซื้อตั๋วจะโคตรยาว

ข้อมูลเกี่ยวกับพระราชวังแวร์ซาย พวกเวลาเปิดปิด ค่าตั๋วและอื่นๆ สามารถเข้าไปดูโดยตรงได้ที่ Official Website



จากสถานีรถไฟต้องเดินมาอีกสิบห้านาที ถึงจะเข้าเขตของพระราชวังแวร์ซาย ระหว่างทางเดินก็ผ่านร้านของกิน ร้านกาแฟ ถ้าใครหิวก็ควรหาของกินให้เรียบร้อยก่อน เพราะต้องใช้เวลาข้างในอีกหลายชั่วโมง เสบียงอาหารติดกระเป๋าก็ควรเตรียมให้พร้อม จะได้ไม่ต้องเสียเงินซื้ออาหารราคาแพงด้านใน 

จากดงร้านอาหารและโรงแรม พอเดินมาถึงด้านหน้า ก็จะมีอนุสาวรีย์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ต้อนรับอยู่ 

เลยจากอนุสาวรีย์ผ่านประตูเข้ามา ก็ได้เวลาต่อแถวเข้าชม สำหรับคนที่มี Museum Pass อยู่แล้วก็ต่อแถวได้เลย แถวเข้าแวร์ซายจะยาวเป็นปรกติจนต้องม้วนเป็นขดๆ ถึงแถวจะยาวแต่ก็ไหลไปเรื่อยๆ

พอเข้าไปข้างในได้ก็เหมือนหลุดไปอีกโลก พอถึงตรงนี้จะมีทางเลือกสองทางคือ เข้าดู "The Palace" ซึ่งก็คือส่วนที่เป็น Grand Apartment หรือไปที่สวนด้านหลัง ซึ่งประกอบไปด้วย "French Garden","Grand Trianon" และ "Marie-Antoinette's estate"  ที่ต้องเลือกเพราะถ้าเข้าสวนด้านหลังไปแล้ว จะย้อนกลับมาเข้า Grand Apartment ไม่ได้ ต้องออกไปต่อแถวยาวๆเมื่อกี้เข้ามาอีกครั้ง แต่ถ้าเข้า Grand Apartment ก่อนจะสามารถเข้าไปที่สวนต่อได้เลย เหมือนบังคับให้คนดู Apartment ก่อน แล้วค่อยออกไปด้านหลังแบบกลายๆ

ความจริง : แถวเข้ามันไม่ได้ยาวเป็นหางว่าวแบบนี้ตลอดวัน ดังนั้นเราจึงแนะนำให้ทุกท่านที่ได้อ่านตรงนี้ ถ้ามีโอกาสได้ไป ให้เข้าไปเดินสวนด้านหลัง และเข้าชมทุกอย่างให้หมดก่อน จากนั้นกลับออกมาด้านนอกแล้วค่อยเข้า The Palace ตอนเย็นๆ ห้าโมงขึ้นไป ไม่มีแถวแถมด้านในก็คนน้อย รับรองได้ว่าจะเป็นแผนการเข้าชมที่ดีที่สุดแน่นอน 


ภายใน Versailles ประกอบด้วยห้องต่างๆมากมายและแต่ละห้องก็มีการตกแต่งที่แตกต่างกันไป ภาพด้านบนเป็นส่วนหนึ่งของเพดานห้อง "Hercules Salon" 



Chapels of Versailles ห้องที่ถูกใช้เป็นสถานที่แต่งงานระหว่าง Louis XVI of France กับ Marie-Antoinette ปัจจุบันห้ามคนเข้า ได้แต่ถ่ายรูปจากข้างนอกเท่านั้น

และนี่คือ The Hall of Mirrors ซึ่งเป็นห้องที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของที่นี่ ปรกติแล้วห้องนี้จะเต็มไปด้วยผู้คน หันไปทางไหนก็มีแต่คน คน และคนเต็มไปหมด รูปนี้ต้องรอจนถึงเวลาปิดและเจ้าหน้าที่เดินมาไล่คนออกหมด ถึงจะถ่ายมาได้
  
เนื่องจากมีเวลาเพียงแค่ครึ่งวัน เราจึงตัดสินใจว่าจะดูเพียงแค่ The Queen's Hamlet กับ Grand Apartment เท่านั้น ถ้าอยากจะดูทุกส่วนของ Versailles คงจะต้องมาตั้งแต่เช้าจรดเย็น

สำหรับ The Queen's Hamlet เป็นส่วนหนึ่งของ Marie-Antoinette's estate พื้นที่ตรงนี้ได้ถูกจำลองเป็นกระท่อมชาวไร่ชาวนา มีฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ตามคำสั่งของพระนาง Marie Antoinette เอาไว้ใช้ตอนที่เธอรู้สึกเบื่อชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือยในวัง และอยากแปลงร่างเป็นชาวไร่ชาวนาเธอก็จะมาหลบตัวอยู่ตรงนี้ 

วิธีการเข้าชม Queen's Hamlet สามารถเดินมาก็ได้ จากเวบไซต์บอกว่าใช้เวลาประมาณ 30 นาที นับเริ่มจาก Grand Apartment ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าจริงหรือเปล่า ถ้าใครคิดว่ามีเวลาและมีแรงจะลองดูก็ได้ แต่เนื่องจากเราไม่มีเวลาและไม่มีแรง จึงต้องเอาพลังเงินเข้าแลก 

บริเวณด้านหลัง Grand Apartment จะมีรถไฟที่ชื่อว่า Les Petits Trains บริการรับส่ง ค่าตั๋วไปกลับหนึ่งรอบ 7.5 ยูโร ซึ่งรถไฟจะวิ่งจาก Grand Apartment และจะจอดอีกสามป้ายที่ Grand Trianon, Petit Trianon และที่ Grand Canal สามารถลงและขึ้นคันใหม่ได้ตามใจ แนวประมาณ Hop on - Hop off

เราขึ้นรถไฟอันนี้ไปลงที่ Petit Trianon แล้วเดินต่อไปที่ The Queen's Hamlet ได้ในเวลาประมาณสิบนาที  ขากลับก็มาขึ้นที่เดิม เห็นระยะทางแล้วรู้สึกว่าคิดถูก ที่ไม่บ้าเดินมาด้วยขาตัวเอง 

สิ่งที่อยากจะเตือนคือ ถ้าเราอยู่ป้ายกลางทาง แล้วมีรถเข้ามาแต่ไม่มีใครลงเลย เราก็จะต้องรอคันถัดไป ซึ่งอาจจะอีก 15 หรือ 20 นาที เพราะฉะนั้นอย่าประมาทคิดว่ารถไฟมาจะได้ขึ้นเสมอไป  
   
สำหรับการพาเที่ยวพระราชวังแวร์ซายก็คงต้องจบลงเท่านี้ ทั้งๆที่ใช้เวลาอยู่ที่นี่กว่า 5 ชั่วโมง แต่เหมือนได้ดูเพียงแค่เศษเสี้ยวของสถานที่ทั้งหมด หวังว่าชีวิตนี้คงมีโอกาสได้กลับมาเดินชิลใน French Garden และดูโชว์น้ำพุสักครั้ง 
 


No comments: