Saturday, August 31, 2013

EUROPe in REWiND #012.2

เนื่องจากวันที่เรามาถึง Ceský Krumlov เป็นวันจันทร์ 
จะไม่มีบริการ Guide Tour ของ Ceský Krumlov Castle
เราจึงต้องมาดูส่วนอื่นของปราสาทวันจันทร์รอบนึงก่อน
แล้วมาทัวร์วันอังคาร ซึ่งทัวร์รอบแรกเริ่มเวลา 9 โมงเช้า
แต่รีวิวจะรวบเป็นตอนเดียว เพื่อความสะดวกของคนเขียน


พอเวลา 8:30 ก็ต้องรีบแจ้นออกจากที่พัก เดินข้ามสะพานไปยังปราสาท


ทางเข้าปราสาทจากด้านในเมือง จะต้องเดินผ่าน Red Gate


ตัวปราสาทไม่ได้ใหญ่อะไร เทียบกับที่เราดูมาก่อนหน้านี้
แต่ให้เดินก็ยังต้องใช้เวลาเหมือนกัน โดยเฉพาะสวนด้านหลัง ที่อยู่บนเขาสูงสุด


ปราสาทนี้เป็น Cultural World Heritage ซะด้วย


ตรงทางเข้าปราสาทจะมี Bear Moat ก็คือคูรอบปราสาท ที่เอาไว้เลี้ยงหมี :P
แต่น้องหมีนอนหลับอืดอยู่ตัวนึง ส่วนอีกตัวก็เดินวนไปวนมา เหมือนคนเสียสติ
ไม่ต่างกับแพนด้าที่เชียงใหม่เลย สงสัยมันเป็นนิสัยของหมีที่จะต้องเดินวนๆไปเรื่อย 


กำแพงปราสาทก็เป็นแบบมักง่าย ทาสีให้เหมือนเป็นหินแผ่นๆ 
สมเป็นปราสาทบ้านนอก จะให้เหมือนพวกราชวงศ์ในเมืองหลวงคงไม่ได้


มองจากปราสาทลงไปด้านล่าง มีคนมาพายเรือแคนนูกันเพียบ


มุมมหาชนถ่ายจาก Cloak Bridge 

ทัวร์ปราสาทมีสองแบบ เดินคนละเส้นทาง
เราเลือกเส้นทางที่หนึ่งละกัน คงไม่ต่างกันเท่าไหร่
ในปราสาทห้ามถ่ายรูปเหมือนเดิม ตัดจบแค่นี้


อีกสองส่วนที่เข้าชมได้คือ Castle Museum และ Castle Tower
ใครจะไป จะบอกว่าตัว Museum อย่าเสียเวลาเลย ไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่


ที่ควรขึ้นไปดูคือ Castle Tower ที่จะได้มุมแบบนี้ 
ซึ่งเป็นมุมสูงกว่าถ่ายจาก Cloak Bridge


ด้านหลังสุดของตัวปราสาทเป็นสวน ซึ่งทางเดินค่อนข้างโหดร้าย
เพราะต้องเดินขึ้นเนินยาวมาก เห็นทีแรกถึงกับถอดใจ เกือบไม่ได้ขึ้นมาดูแล้ว


สวนก็ธรรมดาๆ เออ จริงๆที่นี่ ทุกอย่างก็ธรรมดาๆหมดแหละ
จะให้เทียบกับของในเมืองหลวงได้ไงเนอะ ก็ต้องตั้งโหมดไม่คาดหวังนิดนึง


พอดูทัวร์เสร็จ เราก็ต้องรีบวิ่งกลับที่พัก ไปเก็บของเพื่อไปขึ้นรถต่อ 


งานเลี้ยงก็ต้องมีวันเลิกรา


จากหน้าที่พัก  เห็นทางเดินที่ต้องลากกระเป๋าไปจุดขึ้นรถ แล้วกลัวล้อพังมากๆ


ระหว่างทางเดินออกไปสถานีรถบัส จะมีจุดชมวิวที่สามารถถ่ายมุมนี้ได้

ก็คงต้องขอจบการผจญภัยใน Ceský Krumlov ไว้ที่ตรงนี้
ตอนหน้า เจอกันที่ Prague !

Thursday, August 29, 2013

EUROPe in REWiND #012.1

วันที่ 12 ได้เวลาเปลี่ยนเมือง มุ่งหน้าสู่เมืองที่เป็น World Heritage Site ..  Ceský Krumlov
การเดินทางจาก Vienna ไป Ceský Krumlov นั้นทำได้หลายทาง เช่นรถไฟ รถบัส หรือ รถรับจ้าง
เราเลือกเดินทางโดยรถรับจ้างของบริษัท CK Shuttle


โดยปรกติการใช้ Shuttle พวกนี้จะเป็น Shared .. นั่นก็หมายความว่ามีโอกาสที่จะมีคนอื่น
นั่งไปพร้อมกับเราด้วย นอกจากเราจะเหมารถไป ซึ่งก็ค่อนข้างแพง
ถ้าหากเป็นการเที่ยวเป็นแกงค์ 4-6 คน การใช้บริการรถแบบนี้จะค่อนข้างคุ้มค่า
เพราะเราสามารถไปรถคันเดียวยกแกงค์ได้เลย

บริการ Shuttle พวกนี้จะมีสองแบบคือ Door-to-Door กับ Pickup Point-to-Door
แบบแรกก็ตรงตัว รับหน้าโรงแรมต้นทาง ส่งถึงโรงแรมปลายทาง
แบบที่สองก็รับที่จุดบริการ ส่งถึงโรงแรมปลายทาง
ซึ่งแน่นอน แบบที่สองถูกกว่า และเราก็เลือกแบบนี้
เพราะจุดบริการนั้นอยู่ใกล้สถานี Wien Westbahnhof มาก เดินจากโรงแรมไปแค่ห้านาที


ท่าที่ดู คนขับรถของเราเลือกเส้นทางยิบย่อย แทบไม่วิ่งเส้นหลักเลย ไม่รู้ทำไม 
แต่ก็ดีเหมือนกัน ที่ทำให้เราได้เจอทิวทัศน์ของหมู่บ้านเล็กๆไประหว่างทาง
Czech Republic เป็นประเทศที่มีความเจริญน้อยกว่า Austria และ Germany อย่างเห็นได้ชัด

 การเดินทางโดย Shuttle ใช้เวลาแค่ 3 ชั่วโมงเท่านั้น
หากเทียบกับการนั่งรถไฟ ซึ่งต้องใช้เวลา 4 ชั่งโมง 43 นาทีแล้ว
การมาด้วย Shuttle คุ้มค่า ประหยัดเวลากว่าเห็นๆ
นอกจากนั้น รถไฟยังมาถึงแค่สถานี Ceský Krumlov นะ เราต้องเดินทางไปที่พักอีกรอบ

ก่อนใช้บริการก็ทำการจองผ่านเวบไซต์ของเค้าที่ให้ไว้แล้วด้านบน 
โดยการส่ง Request ที่เค้าจะให้ระบุวันเวลาและต้นทางปลายทาง
พอเค้าตอบมาว่าวันที่เราส่งไปมีที่ว่างเหลือให้บริการ เค้าจะให้ลิงค์จ่ายเงินมา
เราก็เข้าไปจ่ายเงินมัดจำ ผ่านบัตรเครดิตให้เรียบร้อย น่าจะประมาณ 10%
ที่เหลือค่อยไปจ่ายตอนขึ้นรถอีกที และสามารถจ่ายเป็น Euro หรือ Czech Koruna ก็ได้



โรงแรมที่เราเลือกพักคือ Pension Nostalgie
ซึ่งอยู่ใจกลางเมือง แต่จริงๆแล้วเมืองมันเล็กมาก ถ้าไม่ติดเรื่องการเดินทางและการลากกระเป๋า
(ซึ่งเดี๋ยวจะกล่าวถึงอีกที)  ก็พักห่างออกไปจากตัวเมืองนิดนึงได้ เพราะเมืองมันเล็กจริงๆ


ห้องพักค่อนข้างกว้าง เพราะเอาบ้านมาแบ่งทำเป็นห้องให้เช่าพัก
ตอนเราไปถึง เจ้าของที่พัก ซึ่งเป็นลูกชาย ไม่อยู่บ้าน
มีป้ามาเปิดประตูรับ แกพูดอังกฤษไม่ได้ และมีกลิ่นเหล้าหึ่งมาก

หลังจากเราพยายามสื่อสารกับป้าแกอยู่พักนึงแบบงูๆปลาๆ 
ลูกชายแกก็รีบวิ่งมา (คาดว่าป้าแกคงโทรไปบอก)
ลูกชายบอกว่าเค้าจะไปนอกเมือง อยากได้อะไรให้บอก เดี๋ยวเค้าบอกแม่ไว้ให้
เราก็แค่ถามเรื่องร้านอาหารแนะนำกับเวลาอาหารเช้าพรุ่งนี้ 
เสร็จแล้วเจ้าลูกชายก็บ๊ายบาย พร้อมกับพุ่งตัวหายไปอย่างรวดเร็ว



พอจัดการเข้าพักที่โรงแรมเสร็จก็เที่ยงๆพอดี 
กองทัพเลยต้องพักเติมเสบียงก่อนจะเดินทางต่อ
ด้านหน้าโรงแรม มีร้าน Krčma v Šatlavské ซึ่งมีชื่อเสียงในอาหารพื้นเมืองอยู่พอดี
แหม จะเหลือเหรอ



เอาเบียร์มาก่อนเลย
รู้สึกว่า Budweiser นี่จะเป็นเบียร์ของ Czech ซะด้วย



ตอนเค้าเอาจานมาให้ ยังนึกว่านี่จานหรือเขียงฟระเนี่ย อาหารมันจะโหดขนาดนี้เลยเหรอ



และมันก็โหดจริง อันนี้คือ Pork Knee ซึ่งไม่เหมือนขาหมู เพราะมันมาเป็นเข่าจริงๆ
ระหว่างเชือดกินนี่เห็นกล้ามเนื้อเข่าชัดเจนมาก
เราเลยต้องแปลงร่างเป็น Hannibal ชั่วคราว เพื่อชำแหละมันออก แล้วกินแต่เนื้อ -..-



พออิ่มได้ที่ก็ได้เวลาเดินลุย แค่ยี่สิบสามสิบเก้าจากร้านอาหาร 
เราก็มาโผล่ที่จตุรัสกลางเมือง แต่เวลากลางวันแบบนี้ แดดจ้าเกินกว่าจะนั่งพักผ่อนได้



ใจกลางจตุรัสก็มีอนุสาวรีย์ตั้งอยู่ เหมือนเมืองอื่นๆ



จาก Square เดินมาอึดใจนึง ก็จะถึงสะพานข้ามแม่น้ำ
ไปทางถนน Latrán เพื่อเข้าไปที่ Ceský Krumlov Castle

ก่อนจะไปต่อ มาพูดถึงเรื่องเงิน Czech Koruna กัน
สกุลเงิน CZK ของที่นี่ หาแลกจากเมืองไทยไม่ได้ ดังนั้นจึงมีทางเลือกสองทาง
คือกด ATM หรือ เอา Euro มาแลก
วิธีที่แนะนำคือการกด ATM เพราะการแลกเงินมีความเสี่ยงโดนฟันหัวแบะสูงมาก
ATM ให้ใช้บัตร Be 1st ของธนาคารกรุงเทพ เสียค่าธรรมเนียม 100 บาท
และอัตราและเปลี่ยนตามเรทของ VISA+2% ค่าประกันอัตราแลกเปลี่ยน
 โอเคล่ะ ถึงแม้จะดูไม่ประหยัด แต่สบายใจกว่าเยอะ


สภาพพื้นของที่นี้ ก็อย่างที่เห็น มันไม่เหมาะกับการลากกระเป๋าเดินทาง ด้วยประการทั้งปวง
ถ้าที่พักไกล และต้องลากกระเป๋าไปๆมาๆ นี่มันนรกชัดๆ จงหลีกเลี่ยง



เดินไปในเมือง ก็เจอกับร่องรอยของศิลปะมากมาย



บางทีเดินหลงทาง ก็ทำให้เจอมุมเด็ดๆเหมือนกัน



ฝาท่อก็น่าสนใจ มีชื่อเมืองพร้อมสัญลักษณ์ที่ดูจะเป็น Coat of Arms อยู่ซะด้วย



อันนี้มีแค่ชื่อเมือง



ข้าวเย็นวันนี้แวะกิน Pork Rib อีกแล้ว 
ร้านนี้อยู่ริมแม่น้ำเลย ชื่อว่า Papa's Living Restaurant
งานนี้เราก็ขอเค้าสั่งจานเดียวกินสองคนเหมือนเดิม ;)




เจอกระทิงตัวนี้ระหว่างทาง ท่าทางคงเมาและปวดฉี่มาก



กินข้าวเสร็จก็ไปเดินริมแม่น้ำ Vltava น้ำค่อนข้างน้อย แต่ไหลตลอดเวลา



ทางเดินนี่ทำมาตั้ง 20 ปีได้แล้วนะเนี่ย ดูจากร่องรอยที่เขียนไว้ว่าปี 94


วันนี้หมดภาระกิจที่จะทำแล้ว กลับที่พักเข้านอนดีกว่า
พรุ่งนี้มีเป้าหมายไป  Ceský Krumlov Castle แต่เช้า

Monday, August 26, 2013

EUROPe in REWiND #011

เผลอแว๊บเดี๋ยว ผ่านไป 11 วันแล้ว
และวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของการเที่ยวในเวียนนาอีกด้วย 
เวลาแห่งความสุขช่างผ่านไปรวดเร็ว


วันๆนึงไปเที่ยวได้แค่ 2-3 ที่เท่านั้นเอง อยากมีเวลามากกว่านี้ >.<
วันนี้เราเริ่มต้นที่ Schönbrunn Palace (Schloss Schönbrunn)
โดยการขึ้นรถสาย U6 ตรงไปที่สถานี Schönbrunn เลย



นั่งรถไฟแว๊บเดียวก็มาถึง



แม้เราจะมาแต่เช้า แต่นักท่องเที่ยวส่วนนึงก็มาถึงพร้อมเราเหมือนกัน
วันนี้เราจะใช้ใบบุญจาก Sisi Ticket ที่ซื้อมาเมื่อวันก่อน เข้าชม Grand Tour



พระราชวัง Schönbrunn เป็น Summer Residence ของราชวงศ์ Habsburgs
สร้างตามศิลปะแบบ Rococo โดยมีจำนวนห้องถึง 1441 ห้อง
วันนี้ท้องฟ้าเป็นใจ ไม่มีเมฆให้เห็นเลย



มี Fast Lane ให้สำหรับคนใช้ Sisi Ticket 
แต่ตอนที่เราไปยังคนไม่เยอะ เลยไม่เห็นความแตกต่าง



ภายในพระราชวัง ห้ามถ่ายรูป แต่ก็ไม่พ้นมีพวกฝรั่งถ่อย คอยแอบหยิบกล้องถ่ายอยู่ตลอด
พวกนี้มันรู้ทั้งรู้อยู่แก่ใจว่าเค้าห้าม พอเจ้าหน้าที่เดินมา มันก็รีบเก็บกล้อง ทำหน้าเนียนทันที

เจ้าหน้าที่อนุญาติให้ถ่ายรูปออกทางหน้าต่างได้ เราจึงมีมุมสวยๆเช่นนี้มาฝากกัน
สวนทางด้านหลังเรียกว่า The Great Parterre ซึ่งมี Neptune Fountain (Neptunbrunne) 
และ Gloriette ให้เห็นลิบๆ



เดินตากแดดหัวไหม้มาสักพัก ก็ถึงน้ำพุ 
แต่เราไม่ได้เดินไปที่ Gloriette เพราะเวลาไม่เอื้ออำนวย
เวลาเที่ยวนี่มันไม่เคยพอเลยจริงๆ T*T


พอเกรียมได้ที่เราก็เดินกลับมาที่ Schönbrunn  มุมนี้สวยดีเลยเก็บภาพมา



จากสวนด้านหลังก็เดินกลับออกมาทางด้านหน้า แวะถ่าย Model จำลอง



เนื่องจากเวลาที่จำกัด เลยจำเป็นต้องกินอาหารด่วนอีกแล้ว



จาก Schönbrunn เรากลับมานั่งรถราง ไปจุดหมายถัดไปนั่นคือ Belvedere 
การเดินทางไปที่นี่ ให้ใช้รถรางเบอร์ D  ไปลงที่สถานี Schloss Belvedere จะเดินน้อยที่สุด


มีนักท่องเที่ยวมาแบบเดียวกับเราเพียบ เรียกว่าลงเกือบหมดทั้งคัน



Schloss Belvedere เป็น Museum Complex ที่ประกอบไปด้วยหลายส่วน
เช่น Upper Belvedere, Lower Belvedere , Orangery และอื่นๆ
การเข้าดูแต่ละส่วนต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง ทำให้เราต้องเลือกกดูแค่ส่วนเดียว
และส่วนที่เราเลือกก็คือ Upper Belvedere ซึ่งมีผลงานของ Gustav Klimt "The Kiss" อันเลื่องชื่อจัดแสดงอยู่
ภาพ "The Kiss" ก็คือรูปในโบร์ชัวร์นี่แหละ ของจริงมัน Amazing มาก
ภายใน Upper Belvedere ยังมีผลงานภาพวาดชั้นยอดจัดแสดงอยู่อีกหลายชิ้น


ภายใน Belvedere ห้ามถ่ายรูป ก็เลยตัดจบไป และมาต่อแบบเดิมคือถ่ายออกจากหน้าต่าง
แสดงให้เห็น Belvedere Garden และมี Lower Belvedere อยู่ลิบๆ
การจัดสวนเป็นแบบ French Garden ซึ่งเลียนแบบมาจาก การจัดสวนที่พระราชวัง Versailles



เราเลยเดินไปในสวน จนถึงน้ำพุ และถ่ายรูปย้อนกลับไปที่ Upper Belvedere 
กว่าจะเดินมาถึงตรงนี้ได้ ไกลพอตัว นอกจากนั้นการจะมาตรงนี้ ต้องเดินอ้อมสวนไปไกล 
ไม่สามารถเดินลัดมาจากทางเดินข้างๆได้ แกล้งคนมาเที่ยวชัดๆ



จากด้านหลังสู่ด้านหน้า 
ตรงจุดนี้เอง ที่เราเจอมิจฉาชีพพยายามจะล้วงกระเป๋า
ในขณะที่กำลังตั้งใจถ่ายภาพนี้อยู่ และแฟนยืนกางร่มให้นั้น
มีผู้หญิงยิปซี ทำตัวเป็นนักท่องเที่ยว แอบมารูปซิปเป้ด้านหลังของแฟน
มือเบาใช้ได้ แต่ไม่เบาพอ แฟนเราเลยรู้ตัว และขยับเอามือไปจับดู พร้อมกับหันไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
นางโจรก็เนียนทันที ยกกล้องขึ้นมาเล็งถ่ายรูป Belvedere  แชะๆ
ทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชั้นเป็นนักท่องเที่ยว
และแล้วก็รีบฉากหลบออกไปจากตรงนี้อย่างรวดเร็ว พร้อมเพื่อนโจรอีกคน

จากที่มองสำรวจดูในตอนนั้น 
ด้านหลังเราไม่ค่อยมีคน มีนักท่องเที่ยวอยู่แค่ 2-3 คน นอกจากพวกเรา
ไม่แน่ใจว่าเป็นแกงค์เดียวกันหรือเปล่าด้วย 

สรุปว่ากระเป๋าเป้ช่องนอกสุดโดนเปิด แต่ข้างในมีแค่เศษกระดาษกับขยะของกิน
โจรคงดูแล้วไม่มีอะไรให้ขโมย จากนั้นเลยมาเปิดช่องด้านใน แต่ไม่เก่งพอ
แฟนเราเลยรู้ตัว เพราะมันต้องใช้แรงและสะเทือนมากกว่าซิบนอก

การเที่ยวครั้งนี้ เราเตรียมตัวพร้อมรับมือกับโจรเอาไว้อย่างดีแล้ว
ไม่มีการเก็บของมีค่าไว้ในจุดล่อแหลม ไม่มีการใส่เครื่องประดับ หรือเสื้อผ้าราคาแพง
แต่ก็ยังโดนจนได้ แม้จะไม่มีอะไรหาย แต่ก็รู้สึกเซ็งนิดหน่อย

จากเรื่องที่เกิดขึ้น สอนให้รู้ว่า เราป้องกันดียังไง ก็ยังมีโอกาสโดน
ดังนั้นของมีค่าและเอกสารสำคัญ ถ้าต้องเอาไปด้วย ให้เก็บไว้ช่องในสุด ลึกสุด 
และใส่ในซิปอีกชั้นไว้ด้วย พวกโจรมือเบาจะได้ขโมยได้ยากขึ้น
ถ้าจะไปปารีสหรืออิตาลี คงต้องซื้อเป้ที่รัดกุมกว่านี้ไป

เสียเงินซื้อกระเป๋าเป้ยี่ห้อดีๆ ที่มีช่องเก็บรัดกุมเอาไว้ซะ อย่าประมาท
(ยี่ห้อที่ทำกระเป๋าเดินทาง คงพอรู้กันนะ)
ไม่กี่พันบาท ดีกว่าโดนขโมยของตอนเที่ยวอยู่
เสียอารมณ์ เสียเวลา และมีแนวโน้มจะเสียหายมากกว่าเยอะ



จาก Belvedere เราก็เดินทางไปจุดหมายสุดท้าย นั่นคือ Kunst Haus Wien
ซึ่งเป็นสถานที่จัดแสดงผลงานของ Friedensreich Hundertwasser



ตัว Hundertwasser เป็นคนที่ไม่ชอบเส้นตรง จึงทำทุกอย่างโค้งๆเบี้ยวๆ
เค้าบอกว่าเส้นโค้งคือธรรมชาติ ส่วนเส้นตรงเป็นของที่มนุษย์สร้างขึ้น
ผลงานภาพวาดของเค้า ใช้สีฉูดฉาดและจินตนาการอันลึกล้ำ ไม่สามารถเข้าใจได้เลย
ดูตัวอย่างได้ที่ http://www.kunsthauswien.com/en/museum



พื้นที่ภายในจะไม่มีส่วนไหนเรียบเลย ลุ่มๆดอนๆ 
แกบอกว่า มนุษย์พึ่งมาเดินบนพื้นเรียบ แค่ในช่วงไม่กี่ร้อยปีนี้เอง 
ซึ่งพื้นเรียบๆก็ทำขึ้นเองทั้งนั้น
ก่อนหน้านี้มนุษย์ ก็เดินบนพื้นแบบนี้มาตลอด ตั้งแต่เริ่มต้นเผ่าพันธุ์
แล้วทำไมคนคิดว่าสิ่งที่เค้าทำ มันประหลาด ?


ตั๋วเช้าชมก็ไม่ถูกนะ ถึงแม้จะเป็นสถานที่เล็กๆ ราคาแทบไม่ต่างกับที่อื่นๆที่ผ่านมาเลย



ออกจาก Kunst Haus มาเราก็ขึ้นรถรางมาแถวๆ Vienna City Hall เพื่อมาเดินดูสถาปัตยกรรมสวยๆ
เจองาน Film Festival พอดี เลยแวะเข้าไปดู


ก็คล้ายๆงานวัดนี่แหละ มีของกินเพียบ



มีใครสนใจดูดโมฮิโต้กับเค้ามั้ย 



ปิดท้ายที่ Austrian Parliament 
จบจากตรงนี้ ก็กลับโรงแรม เตรียมตัวเดินทางสู่ Český Krumlov
ไข่มุกเม็ดงามแห่งโบฮีเมีย ในวันถัดไป