Sunday, May 18, 2014

EURO2014 ตอน Dwelling in Arts

จุดหมายถัดไปเดินจาก Piazza del Duomo ไปหนึ่งบล็อคก็จะเจอความอร่อยที่ร้าน GROM  เจลาโต้ที่นี่อร่อยใช้ได้ทีเดียว 

ถัดจากร้าน GROM ไปอีกนิดก็จะเจอ Piazza della Signoria ซึ่งเป็นลานที่มีรูปสลักจำลองจำนวนมาก ตึกทางด้านซ้ายคือ Palazzo Vecchio ที่เป็นวังของผู้ครองเมืองในสมัยก่อน ส่วนด้านขวาคือ Loggia dei Lanzi

สมัยก่อนนี้รูปสลักที่ตั้งอยู่ที่นี่เป็นของจริง แต่ในช่วงหลังก็ถูกย้ายเข้าไปในพิพิธพันธ์หมดแล้ว เพื่อเก็บรักษาและเก็บค่าเข้าชม 


 ที่ได้รับความนิยมสูงสุดก็คงเป็น David ปลอมตัวนี้ ส่วนตัวจริง อยู่ใน Accademia Gallery 



ถัดจาก David ใน Loggia dei Lanzi ก็เจอ The Rape of the Sabine Women ตัวปลอม(อีกแล้ว) ตัวจริงก็จงไปชมกันที่ Accademia เหมือนเดิม 


อีกอันที่คนนิยมมาถ่ายรูปก็คือ Neptune Foutain อันนี้ซึ่งดูเหมือนจะเป็นของจริง เท่าที่อ่านมาคือโดนปู้ยี่ปู้ยำไปหลายรอบมาก ล่าสุดเมื่อปี 2005 ก็โดนแอบมาตัดมือขวาไป หลังจากนั้นเลยมีการติด Security Camera และมีตำรวจคอยสอดส่องตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้อยู่สุขสงบดีมาได้จนวันนี้ 

First Courtyard ภายใน Palazzo Vecchio ดูสวยดี เพราะแสงส่องจากด้านบนและการตกแต่งผนัง 

 สิงโตงับหัวเดวิด

เดินเลยจากสิงโตมาอีกนิดก็จะเจอ Uffizi Courtyard ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Uffizi Gallery ศูนย์รวมผลงานศิลปะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก

  
ข้างใน Uffizi ห้ามถ่ายรูป เลยต้องขอยืมภาพจาก Wikipedia มาใช้ รูปนี้คือ The Birth of Venus โดย Botticelli ถูกวาดเมื่อปี 1486 ซึ่งถือว่าเป็นรูปวาดที่เบิกทางให้กับยุคฟื้นฟูศิลปะหรือที่เรียกกันว่า Renaissance 

รูปวาดในสมัยก่อนนั้น จะมีแต่รูปของพระแม่มารี พระเยซู หรือเหล่า Saint และบุคคลสำคัญของศาสนา การวาดรูปเทพเจ้าอื่นๆ (Pagan God) เช่นวีนัส เทพเจ้าแห่งความรักนี้ถือเป็นการดูหมิ่นศาสนาและเป็นสิ่งต้องห้าม แต่ Botticelli ได้วาดภาพนี้ออกมาด้วยการสนับสนุนจากตระกูล Medici ซึ่งเป็นตระกูลที่ปกครองเวนิสในช่วงนั้น ภาพที่วาดออกมาเป็นที่ยอมรับถึงความสวยงามในเชิงศิลปะ รวมทั้งเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับข้อกำหนดของการวาดภาพอีกด้วย 

ตัวอย่างของรูปวาด ก่อนสมัย Renaissance  ที่ชื่อว่า Madonna Enthroned ของ Giotto di Bondone ถูกวาดช่วงปี 1310 จะเห็นได้ว่าภาพวาดนี้ไม่มีมิติ ไม่มีสัดส่วนสมจริง เทพตัวเล็กจิ๋วเดียว พระเยซูเด็กตัวใหญ่มาก และเป็นเรื่องศาสนาเท่านั้น 

  


รูปที่ชอบมากๆอีกรูปคือ Annunciation ของ Leonardo Da Vinci (บน) และ Doni Tondo ของ Michelangelo ที่เป็นรูปวาดเดี่ยวๆรูปเดียวของมิเคลันเจโลที่เหลืออยู่บนโลกนี้ (ไม่นับ Fresco ที่วาติกัน)

ขอตัดจบการแนะนำรูปวาดใน Uffizi Gallery ไว้เท่านี้ เพราะมันมีอีกหลายรูปมาก เป็นสถานที่ที่มีความสุขจริงๆที่ได้เข้าชม ในนี้ยังมีผลงานชิ้นอื่นๆของศิลปินชั้นนำของโลกเช่น Da Vinci, Botticelli, Titian, Raphael และ Caravaggio อีกหลายชิ้น เป็นสถานที่ Must See ที่แนะนำให้เข้าไปดู และเผื่อเวลาอย่างน้อย 3-4 ชั่วโมงสำหรับการชื่นชมผลงานเหล่านี้ ก่อนเข้าชมควรจะทำการซื้อตั๋วล่วงหน้าแบบ Online เสียก่อน ดีกว่าไปเสียเวลาต่อคิวซื้อตั๋วอีกเป็นชั่วโมง
 


สถานที่อีกแห่งที่พลาดไม่ได้คือ Accademia Gallery ซึ่งเป็นที่จัดแสดงรูปแกะสลักที่มีชื่อเสียง เช่น David, Michelangelo's Prisoner, Michelangelo's Slave,  Giambologna's The Rape of the Sabine Women

แม้ว่าใน Accademia Gallery จะมีรูปสลักและภาพวาดอื่นๆอีกมาก แต่ก็มิได้มีความสำคัญหรือน่าสนใจมากนัก สำหรับการเข้าชมที่นี่ ก็แนะนำให้ซื้อตั๋ว Online ล่วงหน้าไปก่อนเช่นกัน เพื่อให้ไม่ต้องเสียเวลาต่อแถวซื้อ

ระหว่างเข้าชม Uffizi จะมีร้านกาแฟพักเบรกตรงกลาง ซึ่งมองเห็นวิว Bell Tower และ Dome 

ถัดจาก Uffizi Courtyard ออกไปจะเจอสะพาน Ponte Vecchio ซึ่งเป็นสะพานสองชั้น โดยชั้นล่างจะเป็นร้านขายของ (ในสมัยก่อนเป็นร้านขายเนื้อ) และชั้นบนซึ่งเรียกว่า Vasari Corridor เป็นทางเดินเชื่อมระหว่าง Palazzo Vecchio และ Palazzo Pitti


เจ้าหมูตัวนี้เป็นสัญลักษณ์ของความเชื่องมงายอีกอัน ประมาณว่าถ้าลูบจมูกหมูกับเอาเหรียญยัดในปากหมูแล้วหล่นลงไปด้านล่างได้ จะได้อะไรสักอย่าง มีนักท่องเที่ยวมาต่อแถวทำอะไรแปลกๆกับมันจำนวนมาก 



สถานที่เที่ยวนอกเมืองที่สำคัญอีกที่คือ Piazzale Michelangelo ซึ่งเป็นที่อยู่ของเดวิดปลอมอีกตัว ที่บางทีทัวร์ก็เอานักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปกับเจ้าตัวนี้แทนที่จะเข้าไปในเมือง การเดินทางมาตรงนี้ให้ขึ้นรถเมล์สาย 12 หรือ 13 จาก Central Station แล้วลงป้ายที่คนส่วนใหญ่ลง ซึ่งมันจะเป็นป้ายท้ายๆ เวลากลับก็ขึ้นรถสายเดิมกลับ 


คนที่มาตรงนี้ก็เพื่อวิวเมือง Florence ที่สวยงามสุดๆแบบนี้แหละ เสียดายที่มีเครนโผล่มาอันนึง 


เราเป็นพวกมีความอดทนสูง จึงอยู่รอถ่ายรูปตอนเริ่มมืด อากาศเริ่มหนาวจริงจังและลมแรง แต่ก็คุ้มค่าที่รอ


หลังจากกลับมาในเมืองก็เดินไปแถวๆมหาวิหาร เจอกับขบวนอะไรสักอย่าง แบกไม้กางเขนมาแล้วก็มาสวดมนต์กันต่อ ให้เดาก็น่าจะเป็นการรำลึกถึงวันที่พระเยซูถูกตรึงกางเขน 


แถมรูป Pisa ให้อีกสองรูป เพราะจริงๆแล้วคนไปเที่ยวเมืองปิซา ก็คงมีรูปแค่นี้แหละ สำหรับรูปผลัก พิงและถีบหอเอนนั้นเราละเว้นไว้ในฐานที่รู้กัน  วิธีเดินทางไปหอเอนเมืองปิซา ให้ขึ้นรถไฟจาก Firenze S.M.N. ไปสถานี Pisa S.Rossore (เน้นว่าไม่ใช่ Pisa Centrale) แล้วเดินไปอีกห้านาทีก็ถึง รถไฟอันนี้จะเป็นแบบ Regional ซึ่งจะต้องมีการ Verify ตั๋วที่ตู้ตรงชานชลาก่อนขึ้นรถ อย่าลืมเสียล่ะ ไม่งั้นอาจจะโดนปรับได้



ส่งท้ายด้วยดอกไม้สวยๆ ถ่ายมาจากตรง Piazzale Michelangelo ตอนหน้าจะขึ้นเหนือไปเที่ยว Zermatt กันต่อ







No comments: