Monday, May 19, 2014

EURO2014 ตอน Stop by Matterhorn

จริงๆแล้ว Zermatt ค่อนข้างจะออกนอกเส้นทางมากไปหน่อย แต่เนื่องจากเราไม่ได้คิดว่าจะมาทำทริป Grand Swiss ในอนาคต เลยตัดสินใจแวะมาทีเดียวให้จบๆไป 

จากฟลอเรนซ์เริ่มแรกต้องนั่งรถไฟมาที่มิลานก่อน แล้วแวะฝากกระเป๋าที่โรงแรมที่จะมาพักในวันถัดไป ถือเป็นโชคดีที่ฝากได้ ไม่อย่างนั้นจะต้องเสียค่าฝากกระเป๋าที่สถานีซึ่งค่าบริการโหดใช้ได้  และคนฝากก็มหาศาลต่อแถวกันยาวเฟื้อย


พอฝากกระเป๋าเสร็จ ก็แวะกินอาหารเที่ยงก่อนที่จะต่อรถยาวไป Zermatt เส้นทางของรถไฟคือออกจาก Milano Centrale วิ่งผ่านเมือง Domodossola ซึ่งเป็นเมืองชายแดนของอิตาลีที่ติดกับ Swiss แล้วเปลี่ยนรถไฟที่ Brig ไปสุดสายที่ Zermatt 


ระหว่างที่รถไฟข้ามจากอิตาลีเข้าสวิสจะมีตำรวจเดินตรวจพาสปอร์ตและถามนู่นนี่ ก็เตรียมเอกสารที่จำเป็นไว้ให้เรียบร้อย ในการต่อรถไฟในสวิสจะต่อได้สองที่คือ Brig หรือ Visp ซึ่งเราแนะนำให้ต่อที่ Brig เพราะจะคนน้อยกว่า ถ้าไปขึ้นที่ Visp จะเป็น Hub ใหญ่คนเยอะ อาจจะทำให้ไม่มีที่นั่ง

เห็นว่างๆแบบนี้ พอถึง Visp ปุ๊บ คนขึ้นเต็มนะ เก้าอี้นี้เป็นของรถไฟชั้น 2 ซึ่งก็นั่งได้สบายๆ 

Zermatt เป็นสถานีปลายทางแบบว่าไปไหนต่อไม่ได้แล้ว สิ้นสุดรางรถไฟแค่นี้ 

เมืองนี้เป็นเมืองท่องเที่ยวอย่างแท้จริง แม้จะเป็นเมืองเล็กๆ แต่ก็หนาแน่นไปด้วยผู้คน 

เราพักที่ Youth Hostel Zermatt ซึ่งอยู่ไกลจากสถานีรถไฟมาก เดินซัก 15-20 นาที ผิดกับคอนเซปต์การเลือกที่พักปรกติ เพราะราคาที่พักในสวิสค่อนข้างสูง และบางที่บังคับจองหลายคืน หลังจากเชคอินเสร็จก็ออกไปเดินเล่นแล้วเจอะแพะสองสี แปลกดีเหมือนมีเสื้อกับทางเกงเลย


พนักงานที่โรงแรมแนะนำให้เดินขึ้นเขาไปดู Matterhorn เราก็เชื่อคนง่ายเดินไปตามนั้น 




จุดหมายหลักจริงๆของการมาที่นี่คือมาขึ้นรถไฟ Gornergranbahn ที่จะพาเราขึ้นไปจุดชมวิว Matterhorn แนะนำให้ขึ้นรอบเช้าๆก่อน 8.30 จะได้คนไม่เยอะ


รถไฟหน้าตาแบบนี้ ขาขึ้นให้นั่งด้านขวามือจะเป็นด้านที่ติดกับ Matterhorn 


ข้างบนมีคนเอาหมาตัวนี้ มาให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป นี่ต้องแอบถ่ายมา เพราะเค้าบอกว่าห้ามถ่ายนะ This is business ! 


ขึ้นมาชมวิวด้านบน ถ่ายรูปกันเป็นร้อยๆ สุดท้ายก็เหมือนกันไปหมด เอาให้ดูรูปเดียวพอ 


ขาลงเราเช่นสไลเดอร์อันนี้ลง ไม่มีพวงมาลัย ไม่มีเบรก เล่นไม่เป็น พอลงจริงๆเจอทางชันมันไหลเร็วมาก ลงไปเจอทางเลี้ยวไม่รู้จะบังคับยังไงเลยแหกโค้งคว่ำซะสองรอบ เจ็บตัว(มาก)แต่ก็สนุก 

พอลงมาถึงสถานีด้านล่างก็แวะกินข้าวกลางวัน แล้วต่อรถไฟกลับมิลาน เป็นอันจบทริปแวะมาชะโงกสวิสเพียงแค่นี้

Sunday, May 18, 2014

EURO2014 ตอน Dwelling in Arts

จุดหมายถัดไปเดินจาก Piazza del Duomo ไปหนึ่งบล็อคก็จะเจอความอร่อยที่ร้าน GROM  เจลาโต้ที่นี่อร่อยใช้ได้ทีเดียว 

ถัดจากร้าน GROM ไปอีกนิดก็จะเจอ Piazza della Signoria ซึ่งเป็นลานที่มีรูปสลักจำลองจำนวนมาก ตึกทางด้านซ้ายคือ Palazzo Vecchio ที่เป็นวังของผู้ครองเมืองในสมัยก่อน ส่วนด้านขวาคือ Loggia dei Lanzi

สมัยก่อนนี้รูปสลักที่ตั้งอยู่ที่นี่เป็นของจริง แต่ในช่วงหลังก็ถูกย้ายเข้าไปในพิพิธพันธ์หมดแล้ว เพื่อเก็บรักษาและเก็บค่าเข้าชม 


 ที่ได้รับความนิยมสูงสุดก็คงเป็น David ปลอมตัวนี้ ส่วนตัวจริง อยู่ใน Accademia Gallery 



ถัดจาก David ใน Loggia dei Lanzi ก็เจอ The Rape of the Sabine Women ตัวปลอม(อีกแล้ว) ตัวจริงก็จงไปชมกันที่ Accademia เหมือนเดิม 


อีกอันที่คนนิยมมาถ่ายรูปก็คือ Neptune Foutain อันนี้ซึ่งดูเหมือนจะเป็นของจริง เท่าที่อ่านมาคือโดนปู้ยี่ปู้ยำไปหลายรอบมาก ล่าสุดเมื่อปี 2005 ก็โดนแอบมาตัดมือขวาไป หลังจากนั้นเลยมีการติด Security Camera และมีตำรวจคอยสอดส่องตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้อยู่สุขสงบดีมาได้จนวันนี้ 

First Courtyard ภายใน Palazzo Vecchio ดูสวยดี เพราะแสงส่องจากด้านบนและการตกแต่งผนัง 

 สิงโตงับหัวเดวิด

เดินเลยจากสิงโตมาอีกนิดก็จะเจอ Uffizi Courtyard ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Uffizi Gallery ศูนย์รวมผลงานศิลปะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก

  
ข้างใน Uffizi ห้ามถ่ายรูป เลยต้องขอยืมภาพจาก Wikipedia มาใช้ รูปนี้คือ The Birth of Venus โดย Botticelli ถูกวาดเมื่อปี 1486 ซึ่งถือว่าเป็นรูปวาดที่เบิกทางให้กับยุคฟื้นฟูศิลปะหรือที่เรียกกันว่า Renaissance 

รูปวาดในสมัยก่อนนั้น จะมีแต่รูปของพระแม่มารี พระเยซู หรือเหล่า Saint และบุคคลสำคัญของศาสนา การวาดรูปเทพเจ้าอื่นๆ (Pagan God) เช่นวีนัส เทพเจ้าแห่งความรักนี้ถือเป็นการดูหมิ่นศาสนาและเป็นสิ่งต้องห้าม แต่ Botticelli ได้วาดภาพนี้ออกมาด้วยการสนับสนุนจากตระกูล Medici ซึ่งเป็นตระกูลที่ปกครองเวนิสในช่วงนั้น ภาพที่วาดออกมาเป็นที่ยอมรับถึงความสวยงามในเชิงศิลปะ รวมทั้งเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับข้อกำหนดของการวาดภาพอีกด้วย 

ตัวอย่างของรูปวาด ก่อนสมัย Renaissance  ที่ชื่อว่า Madonna Enthroned ของ Giotto di Bondone ถูกวาดช่วงปี 1310 จะเห็นได้ว่าภาพวาดนี้ไม่มีมิติ ไม่มีสัดส่วนสมจริง เทพตัวเล็กจิ๋วเดียว พระเยซูเด็กตัวใหญ่มาก และเป็นเรื่องศาสนาเท่านั้น 

  


รูปที่ชอบมากๆอีกรูปคือ Annunciation ของ Leonardo Da Vinci (บน) และ Doni Tondo ของ Michelangelo ที่เป็นรูปวาดเดี่ยวๆรูปเดียวของมิเคลันเจโลที่เหลืออยู่บนโลกนี้ (ไม่นับ Fresco ที่วาติกัน)

ขอตัดจบการแนะนำรูปวาดใน Uffizi Gallery ไว้เท่านี้ เพราะมันมีอีกหลายรูปมาก เป็นสถานที่ที่มีความสุขจริงๆที่ได้เข้าชม ในนี้ยังมีผลงานชิ้นอื่นๆของศิลปินชั้นนำของโลกเช่น Da Vinci, Botticelli, Titian, Raphael และ Caravaggio อีกหลายชิ้น เป็นสถานที่ Must See ที่แนะนำให้เข้าไปดู และเผื่อเวลาอย่างน้อย 3-4 ชั่วโมงสำหรับการชื่นชมผลงานเหล่านี้ ก่อนเข้าชมควรจะทำการซื้อตั๋วล่วงหน้าแบบ Online เสียก่อน ดีกว่าไปเสียเวลาต่อคิวซื้อตั๋วอีกเป็นชั่วโมง
 


สถานที่อีกแห่งที่พลาดไม่ได้คือ Accademia Gallery ซึ่งเป็นที่จัดแสดงรูปแกะสลักที่มีชื่อเสียง เช่น David, Michelangelo's Prisoner, Michelangelo's Slave,  Giambologna's The Rape of the Sabine Women

แม้ว่าใน Accademia Gallery จะมีรูปสลักและภาพวาดอื่นๆอีกมาก แต่ก็มิได้มีความสำคัญหรือน่าสนใจมากนัก สำหรับการเข้าชมที่นี่ ก็แนะนำให้ซื้อตั๋ว Online ล่วงหน้าไปก่อนเช่นกัน เพื่อให้ไม่ต้องเสียเวลาต่อแถวซื้อ

ระหว่างเข้าชม Uffizi จะมีร้านกาแฟพักเบรกตรงกลาง ซึ่งมองเห็นวิว Bell Tower และ Dome 

ถัดจาก Uffizi Courtyard ออกไปจะเจอสะพาน Ponte Vecchio ซึ่งเป็นสะพานสองชั้น โดยชั้นล่างจะเป็นร้านขายของ (ในสมัยก่อนเป็นร้านขายเนื้อ) และชั้นบนซึ่งเรียกว่า Vasari Corridor เป็นทางเดินเชื่อมระหว่าง Palazzo Vecchio และ Palazzo Pitti


เจ้าหมูตัวนี้เป็นสัญลักษณ์ของความเชื่องมงายอีกอัน ประมาณว่าถ้าลูบจมูกหมูกับเอาเหรียญยัดในปากหมูแล้วหล่นลงไปด้านล่างได้ จะได้อะไรสักอย่าง มีนักท่องเที่ยวมาต่อแถวทำอะไรแปลกๆกับมันจำนวนมาก 



สถานที่เที่ยวนอกเมืองที่สำคัญอีกที่คือ Piazzale Michelangelo ซึ่งเป็นที่อยู่ของเดวิดปลอมอีกตัว ที่บางทีทัวร์ก็เอานักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปกับเจ้าตัวนี้แทนที่จะเข้าไปในเมือง การเดินทางมาตรงนี้ให้ขึ้นรถเมล์สาย 12 หรือ 13 จาก Central Station แล้วลงป้ายที่คนส่วนใหญ่ลง ซึ่งมันจะเป็นป้ายท้ายๆ เวลากลับก็ขึ้นรถสายเดิมกลับ 


คนที่มาตรงนี้ก็เพื่อวิวเมือง Florence ที่สวยงามสุดๆแบบนี้แหละ เสียดายที่มีเครนโผล่มาอันนึง 


เราเป็นพวกมีความอดทนสูง จึงอยู่รอถ่ายรูปตอนเริ่มมืด อากาศเริ่มหนาวจริงจังและลมแรง แต่ก็คุ้มค่าที่รอ


หลังจากกลับมาในเมืองก็เดินไปแถวๆมหาวิหาร เจอกับขบวนอะไรสักอย่าง แบกไม้กางเขนมาแล้วก็มาสวดมนต์กันต่อ ให้เดาก็น่าจะเป็นการรำลึกถึงวันที่พระเยซูถูกตรึงกางเขน 


แถมรูป Pisa ให้อีกสองรูป เพราะจริงๆแล้วคนไปเที่ยวเมืองปิซา ก็คงมีรูปแค่นี้แหละ สำหรับรูปผลัก พิงและถีบหอเอนนั้นเราละเว้นไว้ในฐานที่รู้กัน  วิธีเดินทางไปหอเอนเมืองปิซา ให้ขึ้นรถไฟจาก Firenze S.M.N. ไปสถานี Pisa S.Rossore (เน้นว่าไม่ใช่ Pisa Centrale) แล้วเดินไปอีกห้านาทีก็ถึง รถไฟอันนี้จะเป็นแบบ Regional ซึ่งจะต้องมีการ Verify ตั๋วที่ตู้ตรงชานชลาก่อนขึ้นรถ อย่าลืมเสียล่ะ ไม่งั้นอาจจะโดนปรับได้



ส่งท้ายด้วยดอกไม้สวยๆ ถ่ายมาจากตรง Piazzale Michelangelo ตอนหน้าจะขึ้นเหนือไปเที่ยว Zermatt กันต่อ







Saturday, May 17, 2014

EURO2014 ตอน Florence, City of Angel

จากเวนิสเราก็เดินทางต่อไปที่เมืองสำคัญของยุค Renaissance นั่นก็คือฟลอเรนซ์ (Firenze)

ครั้งนี้เดินทางไป Florence ด้วยรถไฟความเร็วสูงวิ่งระหว่างเมือง จะไปได้ต้องมีการจองล่วงหน้าโดยใช้หลักการคล้ายๆเครื่องบิน จองก่อนนานๆก็ราคาถูก จากนั้นราคาจะแพงขึ้นเรื่อยๆ ทางที่ดีควรจะจองตั้งแต่วันแรกที่ทำได้เลย เดี๋ยวจะบอกรายละเอียดเรื่องจองรถไฟในโพสถัดๆไป


รถไฟระหว่างเมืองของที่นี่ถือว่าโอเคทีเดียว ที่นั่งก็กว้างพอสำหรับคนเอเซียตัวเล็กๆอย่างพวกเรา ตรงที่นั่งไม่มีที่วางกระเป๋าเดินทาง แต่เค้าจะทำที่วางไว้ให้ตรงปลายตู้ทั้งสองด้าน ตรงนี้แหละที่น่ากลัว เพราะอาจจะมีคนหยิบกระเป๋าของเราลงไประหว่างทางก็ได้(มีเพื่อนเคยโดนมาแล้ว) ดังนั้นพอรถจอดทีนึง ควรเดินมาด้อมๆมองๆกระเป๋าของตัวเองสักหน่อยว่ายังอยู่ดีหรือไม่

การเดินทางจากเวนิส (สถานที VENEZIA SANTA LUCIA) ถึงฟลอเรนซ์ (สถานี FIRENZE SANTA MARIA NOVELLA) ใช้เวลาเพียงแค่ 2 ชั่วโมง หลังจากมาถึงก็ต้องแวะเติมพลังเสียหน่อย

ที่อิตาลีนี่ก็มีพ่อค่าที่เป็นคนดำคอยขายของก๊อปอยู่เพียบและแน่นอน เค้าพร้อมจะพับร้านหนีตำรวจเสมอ  เห็นแล้วต้องถ่ายรูปมารัวๆ

สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองฟลอเรนซ์ค่อนข้างจุกตัวอยู่ใกล้ๆกัน ทำให้สามารถพึ่งพลังขาให้พาไปถึงได้แทบทุกจุดหมาย ยกเว้นเพียงแค่ Piazzale Michelangelo ที่อยู่บนเนินเขานอกตัวเมือง นั่งรถเมล์ไปน่าจะดีกว่า 

จุดหมายแรกหลังจากอิ่มท้อง ก็คงเป็นอื่นใดไปไม่ได้นอกจากมหาวิหารแห่งเมืองฟลอเรนซ์ Basilica di Santa Maria del Fiore ที่เป็นศูนย์กลางของเมือง ตัววิหารตกแต่งภายนอกด้วยหินอ่อนอย่างสวยงาม ในบริเวณนี้รวมๆเรียกว่า Piazza del Duomo

สิ่งที่น่าทึ่งอีกอย่างหนึ่งของมหาวิหารของฟลอเรนซ์คือเทคนิคการสร้างโดมของ Filippo Brunelleschi ซึ่งไม่มีเสาค้ำเลย เป็นสิ่งมหัศจรรย์ในเชิง Engineering มาจนถึงทุกวันนี้ สำหรับผู้สนใจแนะนำให้ดูสารคดี Great Cathedral Mystery ของ PBS Nova ซึ่งได้อธิบายวิธีการสร้างไว้เป็นอย่างดี


เป็นที่น่าเสียดายที่หอทำพิธีศีลจุ่ม (Battistero di San Giovanni) กำลังปิดซ่อม  โดนนั่งร้านปิดล้อมไว้โดยรอบกลายเป็นลูกทุเรียนไป


ตอนกลางวันบริเวณรอบๆจะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ก็แน่นอนล่ะ ไม่อยู่แถวนี้จะให้ไปตรงไหนล่ะ


การจะเข้าไปในโบสถ์ และปีนขึ้นหอระฆังหรือโดมได้ ต้องซื้อตั๋วแบบคอมโบราคา 10 ยูโร  ใบเดียวเข้าได้หมดทุกที่ ภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากใช้ที่แรก สถานที่ซื้อตั๋วมีหลายที่ แต่เอาง่ายที่สุดก็ซื้อจากมิวเซียม ที่อยู่ด้านหลัง Duomo จะคนน้อยกว่าที่อื่น รายละเอียดไปดูได้ที่ official website



ตอนที่เราไป แถวเข้าโดมจะยาวที่สุด และใช้เวลารอนานที่สุด น่าจะประมาณ 1 ชั่วโมง ส่วนโบสถ์แถวก็ยาว แต่เค้าจะปล่อยคนเข้าไปเป็นรอบๆ รอบนึงเยอะอยู่เลยรอประมาณ 10 นาที สำหรับมิวเซียม และหอระฆังไม่มีแถว แต่ตอนลงจากหอระฆังเจอกลุ่มเด็กนักเรียนสวนขึ้น คนแน่นมาก เลยไม่แน่ใจว่าที่ไม่เจอแถวนั่นเป็นแค่บางช่วงหรือเปล่า
 

ปีนี้เหมือนดวงไม่ดี ไปไหนก็เจอแต่ของปิดซ่อม ตัว Museo dell'Opera del Duomo นี่ปิดจนแทบไม่เหลืออะไรให้ดู จะมีก็แต่ Gates of Paradise ของ Lorenzo Ghiberti และ Pietà ของ Michelangelo ที่เจ้าตัวตั้งใจทำไว้ใช้เป็นป้ายหลุมศพของตัวเอง ซึ่งถ้าไม่มีสองอันนี้ อาจจะไม่มีคนเข้าดูเลยก็เป็นได้

Gates of Paradise ที่อยู่ในมิวเซียมนี่เป็นของจริง ถูกเก็บอยู่ในตู้กระจกมิดชิด ส่วนที่ติดอยู่ตรง Baptistry ด้านนอกให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปเป็นของเลียนแบบ



 Pieta อันนี้ ดูฝีมือไม่เฉียบคมเหมือนที่วาติกัน น่าจะเป็นเพราะ Michelangelo ลงมือทำตอนอายุแก่งั่กใกล้ลงโลงแล้ว 

ข้างในโดมด้านบน มองลงไปเป็นตัวโบสถ์ 

หลังคาด้านในของโดมถูกตกแต่งด่วยภาพวาด Fresco ฝีมือของ  Giorgio Vasari และ Federico Zuccari ซึ่งแสดงถึงเหตุการณ์ The Last Judgement 

ดูแล้วรูป Fresco นี่ยังสีสดอยู่มาก คงเพราะถูกรักษาและบำรุงอย่างดี
รูปนี้ซูมและ crop เอาจากรูปด้านบน  แสดงพลังของกล้องและเลนส์ที่ให้คุณภาพสมราคาที่จ่ายไป 
 
ภายในโบสถ์เป็น Gothic Architect ก็เลยไม่มีการตกแต่งอะไรเท่าไหร่ ดูบ้านๆตามสไตล์


เห็นความสูงของหอระฆัง (Giotto's Campanile) ตอนแรกก็มีท้ออยู่ในใจเหมือนกัน 

 การจะใช้ตั๋วคอมโบให้คุ้ม นั้นต้องใช้แรงขาแลกมา เพราะจะเห็นโดมชัดๆ ก็ต้องปีนขึ้นหอระฆัง

ส่วนการจะเห็นหอระฆังชัดๆ ก็ต้องปีนขึ้นโดม  แต่ละอันต้องเดินขึ้นบันได้ไม่ต่ำกว่า 400 ขั้น

ข้างๆโดมมีอนุสาวรีย์ของ Filippo Brunelleschi อยู่ 

มีมุมนี้เพียงแค่มุมเดียว ที่จะสามารถมองเห็นทั้งโบส์ โดม และหอระฆังได้พร้อมกัน จะเห็นว่าพอตกกลางคืนนักท่องเที่ยวก็หายไปเกือบหมด รูปนี้ถ่ายตอนประมาณสี่ห้าทุ่ม 

ไม่รู้ว่างานซ่อมจะเสร็จเมื่อไหร่เหมือนกัน

ส่งท้ายด้วยวิธีให้อาหารม้า ไม่รู้จะดีใจแทนหรือสงสารม้าดี -_-"