Friday, June 20, 2014

EURO 2014 ตอน Pompeii

มาถึงเมืองสุดท้ายของทริปนี้ ที่ไปดูไม่เกี่ยวกับหนังแต่อย่างใด แต่ไปเพราะสนใจประวัติศาสตร์มากกว่า 


เนื่องจากตัดสินใจค่อนข้างช้า ตั๋วรถไฟชั้น Standard แบบถูกสุดๆเลยหมดเกลี้่ยงไปแล้ว จำใจต้องซื้อที่นั่งชั้น Business แทน แต่ก็เป็นสิ่งที่ดีที่ได้สัมผัสของแพงบ้างสักครั้ง เป็นประสบการณ์ชีวิต

อันนี้คือชั้น Business Silence ที่ไม่อนุญาติให้คุยโทรศัพท์หรือส่งเสียงดังรบกวนผู้โดยสารคนอื่น


บนรถมีขนมกับผ้าเย็นแจกด้วย ตกใจนิดหน่อย เพราะนั่ง Standard ไม่เคยได้อะไรเลย 
การเดินทางไปปอมเปย์ ต้องนั่งรถด่วนจากโรมไปที่นาโปลีก่อน (Naples) และต่อรถไฟท้องถิ่น Circumvesuviana Train ไปลงที่สถานี Pompeii Scavi Villa Misteri


รถไฟท้องถิ่นทั้งโทรมทั้งแน่น แต่ก็เพราะนักท่องเที่ยวที่มาปอมเปย์นี่แหละ ลงกันเกือบหมดคัน ปลายทางของขบวนนี้คือ Sorrento เมืองตากอากาศ


เข้าห้องน้ำห้องท่าเสร็จ ก็มาต่อแถวซื้อตั๋ว คนเยอะใช้ได้ แต่ก็ไม่นาน ประมาณ 15 นาที


สภาพเมืองยังดูดีมาก ถ้าคิดว่านี่มันผ่านมา 2000 ปีแล้ว  แต่ก็นะ เพราะเมืองนี้โดนทับอยู่ใต้เถ้าภูเขาไฟมานาน หลายๆอย่างก็เลยถูกเก็บรักษาไว้

ด้านหลังคือภูเขาไฟวิซูเวียส (Mount Vesuvius) เจ้าตัวร้ายที่ระเบิดตอนปี คศ. 79 แล้วถล่มเมืองปอมเปย์ซะยับเยิน 

วิซูเวียสแต่ก่อนมันใหญ่ขนาดไหน ก็ให้ดูภาพนี้ แล้วลากเส้นในใจ จากริมสองข้าง ขึ้นมาจรดกันตรงกลางเป็นปล่องภูเขาไฟใหญ่ ไอ้ที่เห็นนี่คือมันระเบิดจนกลายเป็นภูเขาย่อยๆสองอัน
 
ความจริงคือคนเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้มีแค่ประมาณ 2000 คนเท่านั้น ไอ้เรื่องในหนังนั่นโม้  เพราะว่าก่อนจะระเบิด ภูเขาไฟมันประทุอยู่ก่อนสักพักแล้ว คนในเมืองส่วนใหญ่ก็เปิดตูดหนีไปเรียบร้อย มันไม่ได้อยู่ๆเกิดตู้มมาเหมือนซึนามิพัด


คนปอมเปย์แต่ก่อน เค้าชอบกินอาหารนอกบ้าน ให้จินตนาการว่าอันนี้คือร้านข้าวแกง มีป้าคนขายอยู่ด้านใน และไอ้หลุมๆนี่คือเตาไฟ

โรงอาบน้ำ เค้าจัดฉากซะดูดีเลยทีเดียว

ทีเด็ดของที่นี่คือ มันมีซ่องครับ ที่รู้เพราะภาพเขียนที่เหลืออยู่ตามกำแพง ทำให้รู้ว่ามันเคยเป็นซ่องมาก่อน กว่าจะหาทางมาดูเจ้านี้ได้นี่เดินวนอยู่นาน ทางเข้ามันลึกลับสุดๆ


 นี่คือภาพ Fresco ที่หลงเหลืออยู่ในบ้านหลังนึง ยุคนั้นนี่ศิลปะยังพื้นๆมาก 

อิตาลีเค้ามีเตาอบพิซซ่ากันมาตั้ง 2000 ปีแล้วจร้า

เราใช้เวลาอยู่ที่ปอมเปย์กันประมาณ 6 ชั่วโมง เดินกันเยอะมากๆ สำหรับคนวางแผนจะแวะมา ให้คิดว่าตรงนั้นเป็น One Day Trip ไม่ใช่ Half Day Trip นะ  แล้วให้เตรียมเสบียงอาหารมาให้พร้อมด้วย


กลับออกจากปอมเปย์ ก็ย้อนทางเดิมด้วยรถไฟท้องถิ่น ไปนาโปลี พอดีมีเวลาเหลือนิดหน่อย เราเลยเดินไปหาร้านพิซซ่าชื่อดัง Da Michele ดูประกาศเกียรติคุณก็น่าจะเข้าใจว่าดังจริง ได้มิชชิลิน ปี 2012 กับ 2013 ซะด้วย 

เหมือนเดิมครับ คนต่อแถวบาน เราเลยไม่ได้นั่งกินในร้าน เพราะต่อคิวเกือบชั่วโมงแล้วก็ยังไม่มีวี่แวว เลยเปลี่ยนใจเป็นซื้อกลับบ้าน

นาโปลีเป็นเมืองที่ได้รับการยอมรับว่าพิซซ่าอร่อยที่สุด เป็นต้นกำเนิดแท้ๆของอาหารชนิดนี้ ดูเจ้าพิซซ่าถาดนี้สิ หน้าตามันคนละเรื่องกับพวกพิซซ่าที่เรากินกันในเมืองไทยลิบลับ รสชาติก็คนละเรื่องเลย ส่วนตัวไม่ค่อยถูกปาก (พิซซ่าเมืองไทยก็ไม่กิน) แต่มาถึงนี่แล้ว ไม่ลองก็เสียเที่ยว 

ไม่อยากจะเชื่อ แต่ตอนนี้การเดินทางของเราได้สิ้นสุดลงแล้ว วันต่อมาเราก็บินกลับเมืองไทย การรีวิวทริปแบบลวกๆก็เลยจบลงเท่านี้ 
แต่เราสัญญาว่า จะได้เจอกันใหม่แน่นอนตอนปลายปีที่ Kyushu นะฮาว์ฟฟ

EURO2014 ตอน Vatican the Heart of Everything

Vatican เป็นรัฐอิสระที่ตั้งอยู่ในกรุงโรม เป็นที่อยู่ของ Papal หรือประสันตปาปา ผู้นำสูงสุดของ Catholic Church

เนื่องจากเราไม่อยากลงไปใช้ Metro ในกรุงโรมถ้าไม่จำเป็น จึงใช้วิธีเดินไปวาติกันแทน นอกจากได้ออกกำลังแล้ว ยังได้เดินผ่านสถานที่สำคัญหลายอันอีกด้วย อย่าเช่น Castel Sant'Angelo ที่หลายๆคนอาจจะคุ้นเคยจาก Da Vinci's Code 

ในรั้ววาติกันนี้จะมีสถานที่สำคัญคือ St. Peter Cathedral, St. Peter Square และ Vatican Museum 

สำหรับที่แรกที่จะไปดูก็คือ Vatican Museum ซึ่งเป็นศูนย์รวมผลงานทางศิลปะจำนวนมาก จะมีอะไรบ้างเดี๋ยวไปดูกัน


มาถึง Museum ก็ต้องไม่พลาดมุมนี้  บันไดวน มหาชนที่สุดแล้ว 
ตอนนี้สัญญากับตัวเองว่า ก่อนตาย จะต้องกลับไป Vatican Museum อีกครั้ง ครั้งนี้จะไปเดินดู Raphael Room อย่างช้าๆ พินิจพิจารณาทุกรูป ทุกส่วน ทุกมุมห้อง แล้วค่อยตายอย่างมีความสุข

คำแนะนำสำหรับการเข้าชม Vatican Museum ก็เหมือนกับที่อื่นๆในอิตาลีนะ จอง-ตั๋ว-ล่วง-หน้า เท่านั้น ! ห้ามคิดจะไปเที่ยวมึนๆ แล้วค่อยไปต่อแถวซื้อตั๋วเข้าชมตอนถึงที่ โดยปรกติแถวซื้อตั๋วนี่ต่อกันเป็นชั่วโมงนะคร้าบ


  ภายใน Museum นั้นประกอบไปด้วยผลงานศิลปะจำนวนมาก อันแรกก็คงหนีไม่พ้น ...



Raphael's Room .... ประกอบด้วยภาพวาด Fresco ของ Raphael จำนวนมาก ห้องทั้งหมดมี 4 ห้อง ส่วนนี้อนุญาติให้ถ่ายรูปได้ รูปแรกนี้เป็นรูปที่อยู่บนเพดานห้อง Hall of Constantine ซึ่งมีชื่อว่า The Triumph of Christianity โดยสังเกตจากรูปตรงกลาง มีรูปปั้นล้มแตกกระจาย คอหักอยู่บนพื้น พร้อมกับมีกางเขนพระเยซูอยู่ด้านหลัง สื่อให้เห็นว่า หมดยุคของ Pagan Gods แล้วจ้าาา ศาสนาคริสต์มาแล้ว เชิญท่านหลบไปไกลๆ  

 รูปทุกด้านในห้องทั้ง 4 ห้องล้วนเป็นภาพวาดระดับ Master Piece ทั้งนั้น ดูแค่จากรูปนี้ เป็นแค่ภาพวาดใต้รูปใหญ่ มองเผินๆ เห็นเป็น 3 มิติได้เลย สุดยอดจริงๆ 


อีกภาพที่ขาดไม่ได้ก็คือ The School of Athens ซึ่งเป็นรูปวาดที่สื่อถึงศิลปินชั้นยอดของยุคสมัย รวมเอาไว้ด้วยกัน ถึงแม้ว่าการสื่อความหมายว่าใครเป็นใครนั้นยังไม่ชัด แต่เท่าที่เดาได้ คนผมยาว ตรงกลางด้านหลังคือ ดาวินชี คนนั่งเอามือค้ำหัวอยู่ด้านหน้าท่าทางไม่คบใครคือมิเคลันเจโล 

ที่ยกมาให้ดูนี้เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของภาพทั้งหมด จาก 4 ห้อง เรียกว่าดูกันซาบซึ้งจุใจเลยทีเดียว ถ้าให้อยู่ที่นี่สัก 3 ชั่วโมงก็คงอยู่ได้ไม่มีเบื่อ 


ด้านในสุดของ Vatican Museum คือ Sistine Chapel ซึ่งเป็นที่อยู่ของผลงานชิ้นสำคัญที่สุดชิ้นนึงของโลก นั่นก็คือผลงานวาดภาพเพดานของมิเคลันเจโล ที่นำเอาเรื่องราวจาก Book of Genesis มาวาด และมีรูป The Creation of Adam ที่ถึงแม้จะเป็นคนที่ไม่รู้จักศิลปะอะไรเลย ก็คงได้ผ่านตามาบ้างแล้ว


The Creation of Adam เป็นรูปที่ถ่ายทอดเรื่องราวตอนที่พระเจ้า ได้สร้าง Adam มนุษย์คนแรกขึ้นมา ที่เราจะเห็นว่ารูปนี้เอาไปโดนล้อเลียนบ่อยที่สุดก็คงจะเป็นส่วนที่เอานิ้วมาจิ้มกันนั่นแหละ 

ใน Sistine Chapel ห้ามถ่ายรูป ห้ามถ่ายวีดีโอ ห้ามคุย ห้ามหยุดเดิน ห้ามยืนขวางคนอื่น ที่นั่งมีแค่รอบๆนอกที่เป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าสิ่งใดทัังนั้น  คำแนะนำคือให้หาที่นั่งให้ได้ แล้วเปิดหนังสือคู่มือไล่ดู ทำความเข้าใจที่ละรูป หรือเอาง่ายก็เปิด Rick Steve's Guide ฟัง ให้เวลากับห้องนี้สักชั่วโมงนึงหรือชั่วโมงครึ่ง กำลังดี

ออกจากห้องนี้ไปก็คือหมดแล้ว แต่ทางออกจะมีสองทาง ด้านซ้ายเป็นของคนธรรมดา ซึ่งจะย้อนไปตรงบันไดวน ทางขวาเป็นทางออกของกรุ๊ปทัวร์ ที่จะทำให้เราไปเข้า St. Peter ได้เลย โดยไม่ต้องต่อแถวอีก ก็แนะนำให้ทำเนียนไปกับทัวร์เอเซีย ออกด้านขวานั่นแหละ  ไม่งั้นจะต้องเสียเวลาอีกเป็นชั่วโมง ในการไปต่อแถวมหาโหดตรง St. Peter Square


 ออกจากทางลัดของ Sistine Chapel มาก็จะเจอกับทางเลือกสองอย่างคือเข้า St. Peter กับปีนขึ้นไปดูวิวข้างบน ก็เลือกเอาได้ตามสะดวก

ข้างใน St. Peter มีผลงานชิ้นยอดของมิเคลันเจโลอีกชิ้นนึงนั่นก็คือ Pieta ซึ่งถูกแกะสลักตั้งแต่เค้าอายุ 23 ... เก่งเวอร์ไปมั้ย


ขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์ โรมันคาทอลิค คงน้อยหน้าที่อื่นไม่ได้


พอเดินชมโบสถ์เสร็จ ก็ต่อด้วยการปีนขึ้นไปดูวิวมุมสูงจาก Dome ของ St. Peter กัน ด้านล่างมีการทำพิธีอะไรสักอย่างอยู่


วิวข้างบน ต้องยกให้เห็นวิวที่สวยที่สุดในกรุงโรมเลย มองเห็น St. Peter Square อย่างชัดเจน

สำหรับการพาเที่ยววาติกัน ก็จบลงเท่านี้ จริงๆแล้วเราใช้เวลาตั้งแต่ เที่ยงครึ่งจนถึงหกโมงเย็น ยังได้แค่ดูผ่านๆ รู้สึกบาปที่ให้เวลาน้อยไป ครั้งหน้ารับรองว่าจะให้เวลากับที่นี่ ตั้งแต่ 9 โมงเข้ายัน 6 โมงเย็น เอามันตั้งแต่เปิดจนปิดเลยนี่แหละ..
 









Wednesday, June 18, 2014

EURO2014 ตอน Rome the Ancient City

โรมเป็นเมืองที่เก่าแก่มากๆของอิตาลี ประวัติศาสตร์ของที่นี่มีย้อนกลับไปถึงยุคก่อนคริสตกาลด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ทำให้โรมเป็นที่จดจำคือความรุ่งเรืองของอาณาจักรโรมัน ที่ยังเหลือให้เห็นจนถึงทุกวันนี้

เราจองรถไฟวิ่งตรงจาก Milan มาถึง Rome เลยทั้งๆที่ระยะทางระหว่างสองเมืองนี้ห่างไกลมาก แต่ก็ใช้เวลาเพียงแค่สามชั่วโมงเท่านั้น

หลังจากเชคอินแล้ว เราก็ใช้พลังขาของเรามุ่งหน้าสู่สถานที่แรกที่วางแผนไว้ นั่นก็คือ Colosseum ซึ่งคงไม่มีใครไม่รู้จักเจ้าสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่มหึมาชิ้นนี้ 

ในการเยี่ยมชม Colosseum เราได้จอง Colosseum, Underground and Third Ring Tour เอาไว้ ซึ่งเราจะสามารถเข้าชมส่วนที่เป็นชั้นใต้ดิน และชั้น 3 ของโคลีเซียมได้ ปรกติแล้วคนทั่วไปจะเข้าได้แค่ชั้น 1 และ 2 เท่านั้น

รูปด้านบนเป็นการทำพื้นจำลองขึ้นมา เพราะปัจจุบันไม่มีเหลือแล้ว พื้นของโคลีเซียมน่าจะเป็นพื้นดินแล้วกลบผิวด้วยทราย ผู้บรรยายบอกว่าที่ต้องมีทรายเพราะปรกติแล้วการต่อสู้กันจะมีเลือดไหลกระฉูดทุกครั้งไป ทรายจะช่วยทำให้พื้นที่นองไปด้วยเลือดไม่ลื่น

ชั้นใต้ดินเป็นที่อยู่ของเหล่า Gladiator และสัตว์ที่จะใช้ในการแสดง โดยชั้นใต้ดินนี้จะมีซากของส่วนที่คาดว่าถูกใช้เป็นกลไกในการลำเลียงสัตว์ขึ้นไปด้านบน เช่นมีการชักรอกกรงสิงโตมา แล้วเปิดกรงให้สิงโตเดินขึ้นไปตามทาง ซึ่งเป็นประตูที่พื้นเวที

ในสมัยก่อน โคลีเซียมถูกแบ่งเป็นหลายชั้น โดยชั้นล่างที่ใกล้เวที จะเป็นที่นั่งของจักรพรรดิ และเหล่า Vestal Virgin ซึ่งจะมี Box Seat เป็นส่วนตัว ที่อื่นๆในชั้นนี้จะเป็นของบุคคลชั้นปกครองที่มีตำแหน่งในวุฒิสภา ชั้นถัดไปจะเป็นของครอบครัวของชั้นปกครอง ชั้นถัดไปอีกเป็นของคนที่ทำอาชีพที่สำคัญๆเช่นแพทย์ ส่วนชั้นบนสุดเป็นของคนธรรมดา ซึ่งต้องแย่งกันซื้อตั๋วเข้าชม  ในภายหลังมีการสร้างต่อเติมชั้นยืนขึ้นไปอีก โดยเป็นที่สำหรับพวกคนยากจน ทาส ผู้หญิง คนต่างชาติ และอื่นๆ 


โคลีเซียมถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณปี คศ. 70 โดยจักพรรดิ Vespasian และมาแล้วเสร็จในสมัยจักรพรรดิ Titus ในปี คศ. 80 จนถึงวันนี้ก็มีอายุเกือบ 2,000 ปีแล้ว ถึงแม้ว่าโครงสร้างของโคลีเซียมจะถูกทำลายไปเยอะ แต่มันก็ยังยืนหยัดอยู่ได้


ตอนนี้มีการบูรณะผนังภายนอกของโคลีเซียมอยู่ ทำให้เราต้องเดินมาถ่ายรูปจากอีกด้านที่ปรกติจะไม่ใช่มุมมหาชน

การเดินทางมาที่โคลีเซียม เอาง่ายๆก็ขึ้นรถใต้ดิน Metro B มาลงที่สถานี Colosseo ส่วนค่าเข้าชมแบบธรรมดา 12 ยูโร แต่แนะนำว่าให้ซื้อตั๋วล่วงหน้าหรือใช้ ROMA Pass เพราะแถวซื้อตั๋วนั้นยาวมากๆ


หลังจากดู Colosseum เสร็จแล้ว ก็ต่อด้วย Roman Forum ที่อยู่ติดๆกันได้เลย ตั๋วสำหรับโคลีเซียมและโรมันฟอรัมใช้ด้วยกันเป็นตั๋วคอมโบ ซื้อหนึ่งเข้าได้สอง 


Roman Forum ก็คือตัวเมืองโรมันนั่นเอง ตอนนี้เหลือแค่ซากปรักหักพัง แต่สิ่งที่เหลืออยู่ก็ยังแสดงให้เห็นว่าสมัยนั้นกรุงโรมเจริญขนาดไหน ถึงซากมันจะดูคล้ายอยุธยา แต่ของเค้ามีการผูกเรื่องและเหตุการณ์ต่างๆทำเป็นจุดขายได้อย่างดี เสียดายที่ของบ้านเราไม่มีบ้าง


ส่วนที่น่าสนใจใน Roman Forum อันนึงคือ Temple of Vesta ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่า Vestal Virgin ซึ่งแปลง่ายๆก็คือแม่ชี ผู้หญิงที่ถูกเลือกให้เป็น Vestal Virgin จะต้องถวายตัวต่อเทพเจ้า ห้ามมีสามีและลูก และเป็นส่วนสำคัญในพิธีศักสิทธิ์ต่างๆ รูปปั้นที่เห็นๆอยู่นี่ ส่วนใหญ่น่าจะเป็นของทำเลียนแบบ มีแค่บางตัวเท่านั้นที่เป็นรูปแกะสลักหินอ่อนจริงๆ


ถัดจาก Roman Forum และ Colosseum .. สถานที่ฮิตสำหรับนักท่องเที่ยวอีกส่วนนึงก็จะมีบันไดสเปน Spanish Steps ซึ่งก็ไม่เห็นมีอะไรพิเศษเลย

อีกอันก็คือน้ำพุเทรวี่ Trevi Fountain ที่คนชอบไปโยนเหรียญกัน ทั้งสองที่นี้จะมีตำรวจคอยยืนเฝ้าอยู่ ประมาณว่าคงมาคอยสอดส่องพวกมิจฉาชีพ



ที่สุดท้ายที่ขอพ่วงมาด้วยก็คือวิหาร Pantheon ซึ่งถูกสร้างในสมัยจักพรรดิออกัสตัส ในช่วงก่อนโคลีเซียมเสียอีก  Pantheon ถือเป็น Temple of all Gods  ..ในที่นี่หมายถึงเทพเจ้าต่างๆ ไม่ใช่พระเยซู  อย่าลืมว่าตอนนั้นศาสนาคริสต์ยังพึ่งเริ่ม ไม่เป็นที่รู้จักหรือสนใจเท่าไหร่  มาในช่วงหลังจากยุค Renaissance ที่นี่ถูกใช้เป็นหลุมศพของคนที่มีความสำคัญ อย่างเช่น Raphael และ Victor Emanuele II 


หลังคาของ Pantheon เป็นรูให้แสงเข้า แต่ไม่รู้ว่าเค้าทำยังไงเวลาฝนตกเหมือนกัน 

สำหรับการเล่าเรื่องกรุงโรมในฐานะเมืองเก่าแก่ ก็ขอจบลงเพียงแค่นี้ ตอนถัดไปเราจะกล่าวถึงกรุงวาติกัน รัฐอิสระที่ตั้งอยู่ในกรุงโรม

EURO2014 ตอน Milano Duomo City

ตอนวางแผนมาที่มิลาน ค้นพบว่าเมืองนี้ไม่ค่อยมีสถานที่น่าสนใจ แต่ด้วยข้อจำกัดของการเดินทาง จะต้องอยู่เมืองนี้ถึง 1 วันเกือบครึ่ง เลยต้องมองหา Half Day Trip เพิ่มเติม เราจึงเลือกที่จะไปเที่ยวเมือง Bellagio ที่อยู่ Lake Como ด้วย

ศูนย์กลางของมิลานอยู่ที่บริเวณรอบๆมหาวิหาร Duomo di Milano ซึ่งมีความเป็นเอกลักษณ์มาก แม้แต่มนุษย์ต่างดาวจากสตาวอร์ตัวนี้ยังต้องมาเยี่ยมเยือน


ยอดแหลมๆของ Duomo สามารถสร้างความแตกต่าง และเป็นจุดที่เรียกนักท่องเที่ยวได้อย่างดี 


ตรงข้ามกับมหาวิหารมีอนุสาวรีย์ของ Victor Emanuele II หันหน้าชนกัน ซึ่งกษัตริย์คนนี้เป็นคนรวมประเทศอิตาลีให้เป็นหนึ่งเดียว

แต่ถ้าให้เดา สิ่งที่นักท่องเที่ยวสนใจมากที่สุดน่าจะเป็น Galleria Vittorio Emanuele II ที่เป็นห้างช๊อปปิ้งของแบรนด์เนมมากกว่า 

ถนนและซอยรายรอบ Duomo ก็เป็น Shopping Street ดีๆนี่เอง  


เจลลาโตของร้าน Cioccolati Italiani อร่อยมาก แถมคนตักไอติมค่อนข้างติส ทางร้านห้อยป้ายเอาไว้เลยว่าเค้าใช้เวลา 60 วินาทีในการเสิร์ฟลูกค้าหนึ่งคน แปลว่ารอนานห้ามบ่น 

ที่ Duomo เมืองนี้ก็เหมือนเมืองอื่นๆ ที่ให้เข้าไปด้านในได้ และยังสามารถขึ้นไปดูวิวข้างบนหลังคาได้อีกด้วย (แต่ก็เสียเงินนะ)

สามารถเลือกได้ว่าอยากเดินหรือขึ้นลิฟท์ ราคาก็ต่างกันไป พอขึ้นมาข้างบนก็พบว่ามีบางส่วนปิดซ่อม ถึงตอนนี้ไม่ได้รู้สึกอะไรมาก ก็แค่ช้ำใจมาเยอะจนชิน

บนหลังคา Duomo คนเยอะ ถ่ายยังไงก็มีแต่คน เลยหันไปถ่ายออกด้านนอกบ้าง 

เดินไปเดินมาเจอน้องหมาน่ารักก็ถ่ายไปเรื่อย

คิวถัดไปก็คือภาพวาด The Last Supper ของ Leonardo Da Vinci ซึ่งอยู่ที่ Santa Maria delle Grazie เป็นสิ่งที่ทุกคนสมควรหาโอกาสมาดูอย่างยิ่ง สามารถจองตั๋ว Online ได้ที่ Vivaticket  โดยปรกติจะเปิดจองล่วงหน้าประมาณสองเดือนกว่า ตัวอย่างเช่น 

OPENING SALES:
8th April: opening sale for JULY 2014
13th May: opening sale for AUGUST 2014
11th June: opening sale for SEPTEMBER 2014

แสดงว่าถ้าเราอยากจะไปดูในเดือนกันยายน เราจะต้องเปิดมาจองในวันที่ 11 มิถุนายนเป็นต้นไป  ความจริงก็คือถ้าไม่รีบจองตั้งแต่วันที่เค้าเปิดขายวันแรกก็อาจจะชวดไปเลยก็ได้ เพราะตั๋วมัน Sold Out เร็วเวอร์


ก่อนจะเข้าไปดูจะต้องผ่านห้องดูดความชื้นก่อน เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น และแต่ละรอบจะมีเวลาดูแค่ 15 นาที หมดเวลาแล้วเจ้าหน้าที่จะมาต้อนคนออกไป นอกจากนั้นยังห้ามถ่ายรูปเด็ดขาดอีกด้วย  เพื่อให้ไอเดียว่ารูปนี้ใหญ่ขนาดไหน ดูจากรูปด้านบนที่ถูกถ่ายตั้งแต่ปี 1981 .. ก่อนที่จะมีการ Restore รูปภาพอย่างจริงจัง สำหรับคนที่จะไปดู แนะนำให้ยืนมองจากระยะไกล แล้วจะสังเกตุอะไรบางอย่างได้ 


เวลาแห่งความสุขในการยืนมอง The Last Supper ผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากโดนต้อนออกมาข้างนอก เราก็มุ่งหน้าสู่จุดหมายถัดไปนั่นคือ Bellagio  

ปล. เห็นน้องหมาขายาวเดินมาเป็นแก๊งแบบนี้ นึกถึงปกอัลบั้ม Abbey Road ของ The Beatles ขึ้นมาซะงั้น 


การเดินทางไป Bellagio ก็ไม่ยุ่งยากอะไร แค่ขึ้นรถไฟจาก Milano Centrale ไปสถานี Varenna-Esino โดยปรกติจะมีรถไฟทุก 2 ชั่วโมง และใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในการเดินทาง


สถานี Varenna-Esino อยู่ระหว่างเขาสองลูก เรียกว่าออกจากอุโมงค์มาก็จอดเลย แล้วก็ลอดอุโมงค์ต่อ เพราะฉนั้นต้องศึกษาเส้นทางและเตรียมตัวให้ดีเพราะไม่มีจุดอะไรให้สังเกตทั้งสิ้นก่อนจะถึง ถ้าพลาดนั่งเลยก็จบเห่ 

จากสถานี Varenna ก็เดินไปที่ท่าเรือ Ferry ซึ่งอยู่ใกล้ๆ ตามป้ายบอกทาง สำหรับตั๋วรถไฟขากลับให้ซื้อที่ Tourist Information ที่อยู่ระหว่างทางเดินไปท่า Ferry เพราะที่สถานี Varenna ไม่มีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ เป็นสถานีร้าง ไม่มีตู้ขายตั๋วซะด้วย 


เรือ Ferry จาก Varenna ไป Bellagio ใช้เวลาแค่ 15 นาที ระหว่างทางก็ถ่ายรูปบ้านริมทะเลสาบ ช่างน่าอิจฉาเจ้าของบ้านเหล่านี้จริงๆ


Bellagio เป็นเมืองเล็กๆในทะเลสาบโคโม  เดินสัก 45 นาทีก็ทั่วแล้ว นักท่องเที่ยวก็มาแวะเมืองนี้เยอะเหมือนกัน 

 เจอคนมาถ่าย Pre Wedding ด้วย เท่าที่สังเกตคู่ Pre Wedding ทั้งหมดที่เจอในทริปนี้ ไม่เป็นคนจีน ก็ต้องมีเจ้าสาวเป็นคนเอเซีย

 เดินไปเดินมาจนพอใจก็มานั่งเรือกลับ Varenna มีน้องเป็ดนั่งอาบแดดรอเป็นเพื่อนด้วย

อาหารค่ำที่มิลานคงเป็นมื้อเดียวที่ควรค่าแก่การกล่าวถึง เพราะเราตั้งใจจะแวะไปกิน White Truffle เห็ดที่แพงกว่าทอง แต่พอดีว่ามันไม่ใช่ฤดูกาลเลยไม่มีขาย สุดท้ายก็ต้องกิน Black Truffle แทน ชีวิตนี้แค่ลองให้ดูว่ามันรสชาติเป็นอย่างไรครั้งเดียวก็เกินพอ สรุปคือมันไม่ได้อร่อยสมราคาหรอก