Wednesday, June 18, 2014

EURO2014 ตอน Rome the Ancient City

โรมเป็นเมืองที่เก่าแก่มากๆของอิตาลี ประวัติศาสตร์ของที่นี่มีย้อนกลับไปถึงยุคก่อนคริสตกาลด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ทำให้โรมเป็นที่จดจำคือความรุ่งเรืองของอาณาจักรโรมัน ที่ยังเหลือให้เห็นจนถึงทุกวันนี้

เราจองรถไฟวิ่งตรงจาก Milan มาถึง Rome เลยทั้งๆที่ระยะทางระหว่างสองเมืองนี้ห่างไกลมาก แต่ก็ใช้เวลาเพียงแค่สามชั่วโมงเท่านั้น

หลังจากเชคอินแล้ว เราก็ใช้พลังขาของเรามุ่งหน้าสู่สถานที่แรกที่วางแผนไว้ นั่นก็คือ Colosseum ซึ่งคงไม่มีใครไม่รู้จักเจ้าสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่มหึมาชิ้นนี้ 

ในการเยี่ยมชม Colosseum เราได้จอง Colosseum, Underground and Third Ring Tour เอาไว้ ซึ่งเราจะสามารถเข้าชมส่วนที่เป็นชั้นใต้ดิน และชั้น 3 ของโคลีเซียมได้ ปรกติแล้วคนทั่วไปจะเข้าได้แค่ชั้น 1 และ 2 เท่านั้น

รูปด้านบนเป็นการทำพื้นจำลองขึ้นมา เพราะปัจจุบันไม่มีเหลือแล้ว พื้นของโคลีเซียมน่าจะเป็นพื้นดินแล้วกลบผิวด้วยทราย ผู้บรรยายบอกว่าที่ต้องมีทรายเพราะปรกติแล้วการต่อสู้กันจะมีเลือดไหลกระฉูดทุกครั้งไป ทรายจะช่วยทำให้พื้นที่นองไปด้วยเลือดไม่ลื่น

ชั้นใต้ดินเป็นที่อยู่ของเหล่า Gladiator และสัตว์ที่จะใช้ในการแสดง โดยชั้นใต้ดินนี้จะมีซากของส่วนที่คาดว่าถูกใช้เป็นกลไกในการลำเลียงสัตว์ขึ้นไปด้านบน เช่นมีการชักรอกกรงสิงโตมา แล้วเปิดกรงให้สิงโตเดินขึ้นไปตามทาง ซึ่งเป็นประตูที่พื้นเวที

ในสมัยก่อน โคลีเซียมถูกแบ่งเป็นหลายชั้น โดยชั้นล่างที่ใกล้เวที จะเป็นที่นั่งของจักรพรรดิ และเหล่า Vestal Virgin ซึ่งจะมี Box Seat เป็นส่วนตัว ที่อื่นๆในชั้นนี้จะเป็นของบุคคลชั้นปกครองที่มีตำแหน่งในวุฒิสภา ชั้นถัดไปจะเป็นของครอบครัวของชั้นปกครอง ชั้นถัดไปอีกเป็นของคนที่ทำอาชีพที่สำคัญๆเช่นแพทย์ ส่วนชั้นบนสุดเป็นของคนธรรมดา ซึ่งต้องแย่งกันซื้อตั๋วเข้าชม  ในภายหลังมีการสร้างต่อเติมชั้นยืนขึ้นไปอีก โดยเป็นที่สำหรับพวกคนยากจน ทาส ผู้หญิง คนต่างชาติ และอื่นๆ 


โคลีเซียมถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณปี คศ. 70 โดยจักพรรดิ Vespasian และมาแล้วเสร็จในสมัยจักรพรรดิ Titus ในปี คศ. 80 จนถึงวันนี้ก็มีอายุเกือบ 2,000 ปีแล้ว ถึงแม้ว่าโครงสร้างของโคลีเซียมจะถูกทำลายไปเยอะ แต่มันก็ยังยืนหยัดอยู่ได้


ตอนนี้มีการบูรณะผนังภายนอกของโคลีเซียมอยู่ ทำให้เราต้องเดินมาถ่ายรูปจากอีกด้านที่ปรกติจะไม่ใช่มุมมหาชน

การเดินทางมาที่โคลีเซียม เอาง่ายๆก็ขึ้นรถใต้ดิน Metro B มาลงที่สถานี Colosseo ส่วนค่าเข้าชมแบบธรรมดา 12 ยูโร แต่แนะนำว่าให้ซื้อตั๋วล่วงหน้าหรือใช้ ROMA Pass เพราะแถวซื้อตั๋วนั้นยาวมากๆ


หลังจากดู Colosseum เสร็จแล้ว ก็ต่อด้วย Roman Forum ที่อยู่ติดๆกันได้เลย ตั๋วสำหรับโคลีเซียมและโรมันฟอรัมใช้ด้วยกันเป็นตั๋วคอมโบ ซื้อหนึ่งเข้าได้สอง 


Roman Forum ก็คือตัวเมืองโรมันนั่นเอง ตอนนี้เหลือแค่ซากปรักหักพัง แต่สิ่งที่เหลืออยู่ก็ยังแสดงให้เห็นว่าสมัยนั้นกรุงโรมเจริญขนาดไหน ถึงซากมันจะดูคล้ายอยุธยา แต่ของเค้ามีการผูกเรื่องและเหตุการณ์ต่างๆทำเป็นจุดขายได้อย่างดี เสียดายที่ของบ้านเราไม่มีบ้าง


ส่วนที่น่าสนใจใน Roman Forum อันนึงคือ Temple of Vesta ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่า Vestal Virgin ซึ่งแปลง่ายๆก็คือแม่ชี ผู้หญิงที่ถูกเลือกให้เป็น Vestal Virgin จะต้องถวายตัวต่อเทพเจ้า ห้ามมีสามีและลูก และเป็นส่วนสำคัญในพิธีศักสิทธิ์ต่างๆ รูปปั้นที่เห็นๆอยู่นี่ ส่วนใหญ่น่าจะเป็นของทำเลียนแบบ มีแค่บางตัวเท่านั้นที่เป็นรูปแกะสลักหินอ่อนจริงๆ


ถัดจาก Roman Forum และ Colosseum .. สถานที่ฮิตสำหรับนักท่องเที่ยวอีกส่วนนึงก็จะมีบันไดสเปน Spanish Steps ซึ่งก็ไม่เห็นมีอะไรพิเศษเลย

อีกอันก็คือน้ำพุเทรวี่ Trevi Fountain ที่คนชอบไปโยนเหรียญกัน ทั้งสองที่นี้จะมีตำรวจคอยยืนเฝ้าอยู่ ประมาณว่าคงมาคอยสอดส่องพวกมิจฉาชีพ



ที่สุดท้ายที่ขอพ่วงมาด้วยก็คือวิหาร Pantheon ซึ่งถูกสร้างในสมัยจักพรรดิออกัสตัส ในช่วงก่อนโคลีเซียมเสียอีก  Pantheon ถือเป็น Temple of all Gods  ..ในที่นี่หมายถึงเทพเจ้าต่างๆ ไม่ใช่พระเยซู  อย่าลืมว่าตอนนั้นศาสนาคริสต์ยังพึ่งเริ่ม ไม่เป็นที่รู้จักหรือสนใจเท่าไหร่  มาในช่วงหลังจากยุค Renaissance ที่นี่ถูกใช้เป็นหลุมศพของคนที่มีความสำคัญ อย่างเช่น Raphael และ Victor Emanuele II 


หลังคาของ Pantheon เป็นรูให้แสงเข้า แต่ไม่รู้ว่าเค้าทำยังไงเวลาฝนตกเหมือนกัน 

สำหรับการเล่าเรื่องกรุงโรมในฐานะเมืองเก่าแก่ ก็ขอจบลงเพียงแค่นี้ ตอนถัดไปเราจะกล่าวถึงกรุงวาติกัน รัฐอิสระที่ตั้งอยู่ในกรุงโรม

No comments: