โบสถ์ที่เป็นเสาหลักของมหานครแห่งนี้ จะเป็นที่ไหนได้ นอกจาก Notre Dame de Paris เป็นชื่อที่คนส่วนใหญ่อาจจะรู้จักจากหนังเรื่อง Hunchback of Notre-Dame นั่นเอง
นอกจากเรื่อง Architect แล้ว ทีนี่มีสิ่งศักสิทธิ์ (Relic) ที่สำคัญเก็บอยู่สามอย่างด้วยกันคือ "Crown of Thorns" หรือมงกุฏหนามที่สวมที่หัวพระเยซูตอนถูกตรึงกางเขน (Crucifixion) อย่างที่สองคือ "Fragment of True Cross" หรือชิ้นส่วนของกางเขนนั้น และ "Holy Nails" หรือเล็บของพระเยซู ซึ่งทั้งหมดถูกเก็บอยู่ในส่วนของ Treasury
อีกเหตุการณ์ที่สำคัญของโบสถ์แห่งนี้คือมันถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานพิธีบรมราชาภิเษกของจักรพรรดินโปเลียน (Emperor Napoleon I) ซึ่งมีรูปวาดถึงเหตุการณ์นี้อยู่ใน Louvre ชื่อว่า The Coronation of Napoleon ซึ่งเราจะไปดูในวันถัดๆไป
สิ่งหนึ่งที่อยู่คู่กับกับโบสถ์แบบ Gothic เสมอก็คือกระจกสี โดยส่วนตัวประทับใจกระจกสีในโบสถ์ที่เยอรมันมากกว่า
ตัว Notre Dame นั้นให้เข้าฟรีตลาดงาน เปิดตั้งแต่เช้าจรดเย็นทุกวัน คิวเข้าโบสถ์จะยาวแต่ไหลเร็ว ก็ไม่มีอะไรน่าห่วงมาก ข้างในถ่ายรูปได้ไม่เสียเงินเพิ่ม น่าจะใช้เวลาดูไม่เกินหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ถ้าเป็นคนที่ไม่ซาบซึ้งกับสิ่งที่อยู่ภายในเลย เดินวนเฉยๆ สิบห้านาทีก็ออกมาอีกฝั่งแล้วล่ะ
หลังจากดูข้างในเสร็จก็สามารถเดินดูรอบนอกได้ รูปนี้ถ่ายจากอีกฝั่งของแม่น้ำ Seine ซึ่งก็สวยไปอีกแบบ หน้าต่างกลมๆที่เห็นนั่นคือ Rose Window ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Gothic Architecture เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปข้างในมา
ด้านหน้าโบสถ์จะมีจุดที่เรียกว่า "Point Zero" ซึ่งก็น่าจะเป็นจุดที่ถือว่าเป็นศูนย์กลางของกรุงปารีส ถ้าไม่ศึกษาข้อมูลมา ก็คงไม่ทันสังเกต
สิ่งหนึ่งที่ไม่แน่ใจ คือไม่รู้ว่าวัฒนธรรมการล็อคกุญแจตามราวสะพาน นี่มันเริ่มมาจากที่ไหนกันแน่ แต่รู้ว่าสะพานข้ามแม่น้ำ Seine ตรงนี้ เต็มไปด้วยแม่กุญแจสื่อรักเต็มทุกกระเบียดนิ้วเลย
ใกล้ๆกับ Notre Dame มีโบสถ์อีกแห่งที่มีนักท่องเที่ยวหนาแน่นเช่นกันชื่อว่า The Sainte-Chapelle ที่นี่มีชื่อเสียงเพราะตัวโบสถ์ประดับด้วยกระจกสี (Stained Glass) เกือบเต็มพื้นที่ เสียดายที่ตอนนี้อยู่ในช่วงปิดซ่อม ทำให้มีมุมสวยอยู่แค่ด้านเดียว
ตัว The Sainte-Chapelle นั้นตั้งอยู่ในพื้นที่ของกระทรวงยุติธรรม การเข้าชมต้องผ่านด่าน Security ที่ค่อนข้างเข้มข้น ประกอบกับภายในสถานที่มีขนาดเล็ก รับคนได้ไม่เยอะ เลยกลายเป็นสถานที่ซึ่งมักจะมีคิวยาว ต้องเสียเวลาต่อคิวนานกว่าจะได้เข้าชม แนะนำให้ไปตั้งแต่เปิดเลย หรือเตรียมการไปดีๆ จะได้ไม่เสียอารมณ์รอ
หลังจากผ่านด่าน Security เรียบร้อยแล้ว ด้านในจะมีสองชั้น ชั้นล่างเป็นร้านขายของ ชั้นบนถึงจะเป็นห้องโถงของโบสถ์
ถัดจาก The Sainte-Chapelle มาอีกนิดเดียว ก็จะเป็น Conciergerie ซึ่งสถานที่แห่งนี้เคยเป็นที่อยู่ของ King of France ในช่วงศตวรรษที่ 10-14 พอถัดมาในช่วง French Revolution สถานที่นี้ถูกใช้เป็นคุกขังนักโทษการเมือง ซึ่งรวมถึงพระนาง Marie Antoinette ภรรยาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ก่อนจะถูกนำไปตัดหัวโดยกิโยติน
ข้างในมีการจำลองจัดฉากห้องที่ใช้ขัง และทำหุ่นให้ดูอีกด้วย เพื่อช่วยให้นักท่องเที่ยวไม่ต้องใช้จินตนาการอันสูงส่งคิดเอาเองว่าฉากตอนนั้นเป็นอย่างไร
ขอจบตอนนี้แต่เพียงเท่านี้ ในตอนต่อไปเราจะไปเที่ยวชม Château de Versailles กัน
No comments:
Post a Comment