ยอดแหลมๆของ Duomo สามารถสร้างความแตกต่าง และเป็นจุดที่เรียกนักท่องเที่ยวได้อย่างดี
ตรงข้ามกับมหาวิหารมีอนุสาวรีย์ของ Victor Emanuele II หันหน้าชนกัน ซึ่งกษัตริย์คนนี้เป็นคนรวมประเทศอิตาลีให้เป็นหนึ่งเดียว
แต่ถ้าให้เดา สิ่งที่นักท่องเที่ยวสนใจมากที่สุดน่าจะเป็น Galleria Vittorio Emanuele II ที่เป็นห้างช๊อปปิ้งของแบรนด์เนมมากกว่า
ถนนและซอยรายรอบ Duomo ก็เป็น Shopping Street ดีๆนี่เอง
เจลลาโตของร้าน Cioccolati Italiani อร่อยมาก แถมคนตักไอติมค่อนข้างติส ทางร้านห้อยป้ายเอาไว้เลยว่าเค้าใช้เวลา 60 วินาทีในการเสิร์ฟลูกค้าหนึ่งคน แปลว่ารอนานห้ามบ่น
ที่ Duomo เมืองนี้ก็เหมือนเมืองอื่นๆ ที่ให้เข้าไปด้านในได้ และยังสามารถขึ้นไปดูวิวข้างบนหลังคาได้อีกด้วย (แต่ก็เสียเงินนะ)
สามารถเลือกได้ว่าอยากเดินหรือขึ้นลิฟท์ ราคาก็ต่างกันไป พอขึ้นมาข้างบนก็พบว่ามีบางส่วนปิดซ่อม ถึงตอนนี้ไม่ได้รู้สึกอะไรมาก ก็แค่ช้ำใจมาเยอะจนชิน
บนหลังคา Duomo คนเยอะ ถ่ายยังไงก็มีแต่คน เลยหันไปถ่ายออกด้านนอกบ้าง
เดินไปเดินมาเจอน้องหมาน่ารักก็ถ่ายไปเรื่อย
คิวถัดไปก็คือภาพวาด The Last Supper ของ Leonardo Da Vinci ซึ่งอยู่ที่ Santa Maria delle Grazie เป็นสิ่งที่ทุกคนสมควรหาโอกาสมาดูอย่างยิ่ง สามารถจองตั๋ว Online ได้ที่ Vivaticket โดยปรกติจะเปิดจองล่วงหน้าประมาณสองเดือนกว่า ตัวอย่างเช่น
OPENING SALES:
8th April: opening sale for JULY 2014
13th May: opening sale for AUGUST 2014
11th June: opening sale for SEPTEMBER 2014
แสดงว่าถ้าเราอยากจะไปดูในเดือนกันยายน เราจะต้องเปิดมาจองในวันที่ 11 มิถุนายนเป็นต้นไป ความจริงก็คือถ้าไม่รีบจองตั้งแต่วันที่เค้าเปิดขายวันแรกก็อาจจะชวดไปเลยก็ได้ เพราะตั๋วมัน Sold Out เร็วเวอร์
ก่อนจะเข้าไปดูจะต้องผ่านห้องดูดความชื้นก่อน เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น และแต่ละรอบจะมีเวลาดูแค่ 15 นาที หมดเวลาแล้วเจ้าหน้าที่จะมาต้อนคนออกไป นอกจากนั้นยังห้ามถ่ายรูปเด็ดขาดอีกด้วย เพื่อให้ไอเดียว่ารูปนี้ใหญ่ขนาดไหน ดูจากรูปด้านบนที่ถูกถ่ายตั้งแต่ปี 1981 .. ก่อนที่จะมีการ Restore รูปภาพอย่างจริงจัง สำหรับคนที่จะไปดู แนะนำให้ยืนมองจากระยะไกล แล้วจะสังเกตุอะไรบางอย่างได้
เวลาแห่งความสุขในการยืนมอง The Last Supper ผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากโดนต้อนออกมาข้างนอก เราก็มุ่งหน้าสู่จุดหมายถัดไปนั่นคือ Bellagio
ปล. เห็นน้องหมาขายาวเดินมาเป็นแก๊งแบบนี้ นึกถึงปกอัลบั้ม Abbey Road ของ The Beatles ขึ้นมาซะงั้น
การเดินทางไป Bellagio ก็ไม่ยุ่งยากอะไร แค่ขึ้นรถไฟจาก Milano Centrale ไปสถานี Varenna-Esino โดยปรกติจะมีรถไฟทุก 2 ชั่วโมง และใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในการเดินทาง
สถานี Varenna-Esino อยู่ระหว่างเขาสองลูก เรียกว่าออกจากอุโมงค์มาก็จอดเลย แล้วก็ลอดอุโมงค์ต่อ เพราะฉนั้นต้องศึกษาเส้นทางและเตรียมตัวให้ดีเพราะไม่มีจุดอะไรให้สังเกตทั้งสิ้นก่อนจะถึง ถ้าพลาดนั่งเลยก็จบเห่
จากสถานี Varenna ก็เดินไปที่ท่าเรือ Ferry ซึ่งอยู่ใกล้ๆ ตามป้ายบอกทาง สำหรับตั๋วรถไฟขากลับให้ซื้อที่ Tourist Information ที่อยู่ระหว่างทางเดินไปท่า Ferry เพราะที่สถานี Varenna ไม่มีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ เป็นสถานีร้าง ไม่มีตู้ขายตั๋วซะด้วย
เรือ Ferry จาก Varenna ไป Bellagio ใช้เวลาแค่ 15 นาที ระหว่างทางก็ถ่ายรูปบ้านริมทะเลสาบ ช่างน่าอิจฉาเจ้าของบ้านเหล่านี้จริงๆ
Bellagio เป็นเมืองเล็กๆในทะเลสาบโคโม เดินสัก 45 นาทีก็ทั่วแล้ว นักท่องเที่ยวก็มาแวะเมืองนี้เยอะเหมือนกัน
เจอคนมาถ่าย Pre Wedding ด้วย เท่าที่สังเกตคู่ Pre Wedding ทั้งหมดที่เจอในทริปนี้ ไม่เป็นคนจีน ก็ต้องมีเจ้าสาวเป็นคนเอเซีย
เดินไปเดินมาจนพอใจก็มานั่งเรือกลับ Varenna มีน้องเป็ดนั่งอาบแดดรอเป็นเพื่อนด้วย
อาหารค่ำที่มิลานคงเป็นมื้อเดียวที่ควรค่าแก่การกล่าวถึง เพราะเราตั้งใจจะแวะไปกิน White Truffle เห็ดที่แพงกว่าทอง แต่พอดีว่ามันไม่ใช่ฤดูกาลเลยไม่มีขาย สุดท้ายก็ต้องกิน Black Truffle แทน ชีวิตนี้แค่ลองให้ดูว่ามันรสชาติเป็นอย่างไรครั้งเดียวก็เกินพอ สรุปคือมันไม่ได้อร่อยสมราคาหรอก
No comments:
Post a Comment