Friday, June 20, 2014

EURO 2014 ตอน Pompeii

มาถึงเมืองสุดท้ายของทริปนี้ ที่ไปดูไม่เกี่ยวกับหนังแต่อย่างใด แต่ไปเพราะสนใจประวัติศาสตร์มากกว่า 


เนื่องจากตัดสินใจค่อนข้างช้า ตั๋วรถไฟชั้น Standard แบบถูกสุดๆเลยหมดเกลี้่ยงไปแล้ว จำใจต้องซื้อที่นั่งชั้น Business แทน แต่ก็เป็นสิ่งที่ดีที่ได้สัมผัสของแพงบ้างสักครั้ง เป็นประสบการณ์ชีวิต

อันนี้คือชั้น Business Silence ที่ไม่อนุญาติให้คุยโทรศัพท์หรือส่งเสียงดังรบกวนผู้โดยสารคนอื่น


บนรถมีขนมกับผ้าเย็นแจกด้วย ตกใจนิดหน่อย เพราะนั่ง Standard ไม่เคยได้อะไรเลย 
การเดินทางไปปอมเปย์ ต้องนั่งรถด่วนจากโรมไปที่นาโปลีก่อน (Naples) และต่อรถไฟท้องถิ่น Circumvesuviana Train ไปลงที่สถานี Pompeii Scavi Villa Misteri


รถไฟท้องถิ่นทั้งโทรมทั้งแน่น แต่ก็เพราะนักท่องเที่ยวที่มาปอมเปย์นี่แหละ ลงกันเกือบหมดคัน ปลายทางของขบวนนี้คือ Sorrento เมืองตากอากาศ


เข้าห้องน้ำห้องท่าเสร็จ ก็มาต่อแถวซื้อตั๋ว คนเยอะใช้ได้ แต่ก็ไม่นาน ประมาณ 15 นาที


สภาพเมืองยังดูดีมาก ถ้าคิดว่านี่มันผ่านมา 2000 ปีแล้ว  แต่ก็นะ เพราะเมืองนี้โดนทับอยู่ใต้เถ้าภูเขาไฟมานาน หลายๆอย่างก็เลยถูกเก็บรักษาไว้

ด้านหลังคือภูเขาไฟวิซูเวียส (Mount Vesuvius) เจ้าตัวร้ายที่ระเบิดตอนปี คศ. 79 แล้วถล่มเมืองปอมเปย์ซะยับเยิน 

วิซูเวียสแต่ก่อนมันใหญ่ขนาดไหน ก็ให้ดูภาพนี้ แล้วลากเส้นในใจ จากริมสองข้าง ขึ้นมาจรดกันตรงกลางเป็นปล่องภูเขาไฟใหญ่ ไอ้ที่เห็นนี่คือมันระเบิดจนกลายเป็นภูเขาย่อยๆสองอัน
 
ความจริงคือคนเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้มีแค่ประมาณ 2000 คนเท่านั้น ไอ้เรื่องในหนังนั่นโม้  เพราะว่าก่อนจะระเบิด ภูเขาไฟมันประทุอยู่ก่อนสักพักแล้ว คนในเมืองส่วนใหญ่ก็เปิดตูดหนีไปเรียบร้อย มันไม่ได้อยู่ๆเกิดตู้มมาเหมือนซึนามิพัด


คนปอมเปย์แต่ก่อน เค้าชอบกินอาหารนอกบ้าน ให้จินตนาการว่าอันนี้คือร้านข้าวแกง มีป้าคนขายอยู่ด้านใน และไอ้หลุมๆนี่คือเตาไฟ

โรงอาบน้ำ เค้าจัดฉากซะดูดีเลยทีเดียว

ทีเด็ดของที่นี่คือ มันมีซ่องครับ ที่รู้เพราะภาพเขียนที่เหลืออยู่ตามกำแพง ทำให้รู้ว่ามันเคยเป็นซ่องมาก่อน กว่าจะหาทางมาดูเจ้านี้ได้นี่เดินวนอยู่นาน ทางเข้ามันลึกลับสุดๆ


 นี่คือภาพ Fresco ที่หลงเหลืออยู่ในบ้านหลังนึง ยุคนั้นนี่ศิลปะยังพื้นๆมาก 

อิตาลีเค้ามีเตาอบพิซซ่ากันมาตั้ง 2000 ปีแล้วจร้า

เราใช้เวลาอยู่ที่ปอมเปย์กันประมาณ 6 ชั่วโมง เดินกันเยอะมากๆ สำหรับคนวางแผนจะแวะมา ให้คิดว่าตรงนั้นเป็น One Day Trip ไม่ใช่ Half Day Trip นะ  แล้วให้เตรียมเสบียงอาหารมาให้พร้อมด้วย


กลับออกจากปอมเปย์ ก็ย้อนทางเดิมด้วยรถไฟท้องถิ่น ไปนาโปลี พอดีมีเวลาเหลือนิดหน่อย เราเลยเดินไปหาร้านพิซซ่าชื่อดัง Da Michele ดูประกาศเกียรติคุณก็น่าจะเข้าใจว่าดังจริง ได้มิชชิลิน ปี 2012 กับ 2013 ซะด้วย 

เหมือนเดิมครับ คนต่อแถวบาน เราเลยไม่ได้นั่งกินในร้าน เพราะต่อคิวเกือบชั่วโมงแล้วก็ยังไม่มีวี่แวว เลยเปลี่ยนใจเป็นซื้อกลับบ้าน

นาโปลีเป็นเมืองที่ได้รับการยอมรับว่าพิซซ่าอร่อยที่สุด เป็นต้นกำเนิดแท้ๆของอาหารชนิดนี้ ดูเจ้าพิซซ่าถาดนี้สิ หน้าตามันคนละเรื่องกับพวกพิซซ่าที่เรากินกันในเมืองไทยลิบลับ รสชาติก็คนละเรื่องเลย ส่วนตัวไม่ค่อยถูกปาก (พิซซ่าเมืองไทยก็ไม่กิน) แต่มาถึงนี่แล้ว ไม่ลองก็เสียเที่ยว 

ไม่อยากจะเชื่อ แต่ตอนนี้การเดินทางของเราได้สิ้นสุดลงแล้ว วันต่อมาเราก็บินกลับเมืองไทย การรีวิวทริปแบบลวกๆก็เลยจบลงเท่านี้ 
แต่เราสัญญาว่า จะได้เจอกันใหม่แน่นอนตอนปลายปีที่ Kyushu นะฮาว์ฟฟ